วิเคราห์และอัพเดตข่าวที่น่าสนใจ แบบตรง ๆ ดิบ ๆ

[Teerapong]

(Feb 28) ประธานเฟดส่งสัญญาณอาจขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ หลังสหรัฐใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ: นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้

ทั้งนี้ ในการกล่าวตอบข้อซักถามจากคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ นายพาวเวลระบุว่า เฟดมีแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอาจมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นเป็น 4 ครั้ง หลังจากมีการใช้มาตรการด้านการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล

นายพาวเวลกล่าวว่า กรรมการเฟดแต่ละคนจะทำการประเมินครั้งใหม่ต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 20-21 มี.ค.

"ผมไม่ต้องการที่จะตัดสินล่วงหน้าเกี่ยวกับการประเมินครั้งใหม่ แต่เราจะพิจารณาจากปัจจัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ที่ผ่านมา" นายพาวเวลกล่าว

นายพาวเวลยังระบุว่า เฟดจำเป็นต้องจับตาภาวะไร้สมดุลในระบบการเงิน แต่ขณะนี้ดูเหมือนยังไม่มีอันตรายจากแนวโน้มดังกล่าว

นายพาวเวลระบุว่า เขาไม่ได้มีความกังวลต่อภาวะผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยการแกว่งตัวอย่างรุนแรงของตลาดจะไม่มีผลกระทบต่อมุมมองของเขาที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดยเขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ประธานเฟดกล่าวว่า สภาวะการเงินยังคงอยู่ในภาวะผ่อนคลาย แม้เกิดภาวะผันผวนในตลาดการเงิน

นายพาวเวลย้ำว่าตลาดแรงงาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ค่าจ้างมีการเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งตัว

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังระบุว่า การเพิ่มขึ้นของการส่งออก และนโยบายการคลังในเชิงกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยใหม่ที่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ในประเด็นเงินเฟ้อ นายพาวเวลระบุว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ ขณะที่จะมีเสถียรภาพที่ระดับ 2% ในระยะกลาง

นายพาวเวลกล่าวว่า ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงมีความสมดุล แต่เจ้าหน้าที่เฟดจะจับตาเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกัน ประธานเฟดยังระบุว่า การปรับลดงบดุลของเฟดกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

[narjant]

 

[admin]

เป็นคราวของยูโรจะลงต่อเนื่องบ้างหรือป่าวนะ 

[Teerapong]

ดอลล่า จะสวิง รอ  วันอังคาร
สภาพโดยรวม ของยุโรป  แน่นอน  สมาชิกทางเหนือ  เยอรมันฝรั่งเศล  มีสภาพเสดกิจที่ดี   แต่  สมาชิกทางใต้....กรีก  สเปน  อิตาลี   และ อื่นๆ   อยู่ในภาวะแย่   ไม่ต้องพูด้รื่องหนี้สิน   อิตาลี ติดปัญหานี้       

จุดpeak  คือ  ยุโรป สามารถกลับไปตกในสภาพวิกฤตทางการเงิน 2011   
เพราะฉะนั้น   เมื่อมองกราฟ   อีเจ    เกิดสงสัยว่า   ยุโรป  สามารถนกตัวได้ไง
ข่าวทรัม   คุณท่านจะไม่หยุดแค่การตัดกำแพงภาษีเหล็กกัยอะลูมิเนียม เท่านั้น     

ผลของการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ หลายบริษัทในตลาดหุ้นที่นำเข้าเหล็ก จาก รัสเซีย  จีน   จุกกันแบบ อวมกันหนัก  แต่  บริษัทเหล็กในเมกากลับ ดีดๆ  มีการจ้างงานเพิ่ม 500ตำแหน่ง   เป็นการประกาศสงครามการค้า  ที่เห็นแก่เมกาเท่านั้น   หลายทวีป ออกมา ต่อต้าน   แต่ทวีปเมกา เหนือ และใต้นั้นยอมจำนน แล้ว  เพราะ ทรัมให้สิทธิพิเศษ ซึ่งข่าวม่ะไดเแจ้ง

[admin]

[Teerapong]

ทิศทางตลาดเงินตอนนี้ ยังคงโฟกัสเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย คงเป็นประเด็นหลักสำหรับคืนนี้ จากองค์ภาพรวมจากตัวเลขพื้นฐานเศรษฐกิจของ US แล้วในการจ้างงานคงไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้วหวังว่าคงไม่ถามเรื่อง nonfarm กันอีกนะโพสต์ทุกครั้งเลยลองกับไปอ่านดูได้ ส่วนประเด็นที่เฟดยังคงติดตามยังคงเป็นเรื่องรายได้กับอัตราเงินเฟ้อมากกว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในช่วง 2% นี้แหละยังขึ้นๆ ลงๆ ไม่ไปไหนมาก จาก Dot Plot ที่เคยให้ดูไตรมาสแรกนี้มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยค่อนข้างแน่นอนตามที่เฟดวางแผนไว้ แต่ด้วยเรื่องของ Price ของ USD ตลาดรับรู้มาพอควรแล้วแต่ก็ยังมีกลุ่มที่ยังรอเล่นตามผลอยู่ ถ้าดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นเป็น 1.75% จาก 1.50% ตลาดคงมีกลุ่มซื้อ USD อีกเล็กน้อย สุดท้ายแล้วค่าเงิน USD จะคงอ่อนค่าต่อไปเพราะตลาดจะไปโฟกัส นโยบายการคลังต่อแทน แนวโน้มสหรัฐเองยังคงขาดดุลงบประมาณมากขึ้น เป็นเพราะนโยบายของทรัมป์เองด้วย เรื่องนี้ยังคงกดดันให้ USD อ่อนนั้นเอง ส่วนประเด็นอื่นๆ ยังไม่มีผลต่อตลาด

#ออหมี

[admin]

วิ่งกระจายเกือบทุกคู่เลย 

[Teerapong]

แรงดีจริงๆๆ 

[Teerapong]

EURUSD บินทะลุดาวอังคาร! หลังจากเป็นไปตามคาดการณ์ว่า Fed จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำไมดอลล่าถึงร่วงหนัก ?

การประชุม FOMC "Fed Interest Rate Decision" ในคืนที่ผ่านมา (ช่วงเวลา 1.00 น. ของวันนี้) โดยเป็นการประชุมครั้งแรก ของ "เจอโรม พาวเวล" ในฐานะประธานเฟดคนใหม่ ทั้งนี้ตลาดเคยคาดการณ์ว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องมีการปรับขึ้นอัตรดอกเบี้ยนโนบายอย่างแน่นอน และก็เป็นไปตามคาดหลังจาก Fed เพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25 Basis Points จาก 1.5 สู่ระดับ 1.75% โดยอ้างอิงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น

ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาถือครอง USD ทำให้ความต้องการสูงขึ้นและค่าเงินจะแข็งค่าขึ้น ปัจจุบันกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า "ไม่ใช่แบบนั้น" หากติดตามความเคลื่อนไหวตลอดการประชุม จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า Dollar ตอบสนองในทางที่เป็นลบต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตลอด และในครั้งนี้ส่งผลให้ EURUSD ทะลุระดับ 1.236

ครั้งนี้ยังดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลาย Fed และธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเข้าระบบ เราเรียกการกระทำนั้นว่า "QE" สภาพคล่องล้นโลกและไหลเข้าไปเก็งดันราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ให้สูงเกินจริง ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น แต่ทว่าในปัจจุบันเรากำลังอยู่ในภาวะ "Exit Strategy " ธนาคารกลางลดขนาดงบดุลหรือเท่ากับถอน QE ออกจาก และภาพที่สภาพคล่องล้นโลกกำลังเปลี่ยน

เม็ดเงิน QE ที่ไหลออกจากพันธบัตรสหรัฐฯ วิ่งสู่ทรัพย์สินปลอดภัยอย่าง "ทองคำ" มาโดยตลอด ซ้ำร้าย นโยบายภาษี (Tariffs) ที่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' หมายมั่นจะ "Make America Great Again" จะยิ่งกดดันให้ USD ดิ่งลงเหวเข้าไปอีก

บทสรุปของเรื่องนี้ยังเป็นการที่ USD จะอ่อนค่าอย่างหนักลงเรื่อยๆ ในสิ้นปีนี้ ทั้งจากปัญหาหนี้ของสหรัฐฯ เอง นโยบายภาษี และที่สำคัญที่สุดคือการค่อยๆ ลดขนาดงบดุลที่ Fed ได้เปลี่ยนภาพของสภาพคล่องทั้งหมด และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น จะยิ่งกดดันภาพรวมของอัตราแลกเปลี่ยนไปตลอดทั้งปี

[Teerapong]

ผวาสงครามการค้า!!ดาวโจนส์พัง724จุดหลังทรัมป์สั่งเก็บภาษีนำเข้าจีน น้ำมันลง-ทองคำบวก

เอเอฟพี/มาร์เก็ตวอตช์ - ราคาน้ำมันขยับลงในวันพฤหัสบดี(22มี.ค.) จากความกังวลต่อกำลังผลิตสหรัฐฯ ส่วนดาวโจนส์ร่วงหนักกว่า 700 จุด หลังทรัมป์ลงนามในคำสั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน ขณะที่ทองคำปิดบวกพอสมควร

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 87 เซนต์ ปิดที่ 64.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอนงวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 56 เซนต์ ปิดที่ 68.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แม้รายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯที่เผยแพร่ในวันพุธ(21มี.ค.) จะระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 มีนาคม ลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล

แต่ขณะเดียวกันสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯเผยด้วยว่ากำลังผลิตรายสัปดาห์ของประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 26,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 10.407 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบแรงในวันพฤหัสบดี(22มี.ค.) โดยดาวโจนส์ร่วงลงถึง 700 จุด หลังความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ลงนามในคำสั่งงเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านดอลลาร์ กระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า

ดาวโจนส์ ลดลง 724.42 จุด (2.93 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 23,957.89 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 68.24 จุด (2.52 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,643.69 จุด แนสแดค ลดลง 178.61 จุด (2.43 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 7,166.68 จุด

"มันจะเป็นมาตรการทางการค้าชุดแรกในหลายๆชุด" ทรัมป์กล่าวพร้อมกับลงนามในคำสั่งเพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านดอลลาร์ อ้างเพื่อแก้แค้นกรณีปักกิ่งขโมยทรัพย์สินทางปัญญาอเมริกา

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวกระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ในขณะที่ปักกิ่งประกาศกร้าวว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ส่งสัญญาณว่าอาจตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งพวกนักวิเคราะห์เกรงว่าจะก่อความเสียหายแก่ทั้งสองประเทศ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งฟื้นตัว

ข้อวิตกดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่่ยงต่ำ และดันให้ราคาทองคำในวันพฤหัสบดี(22มี.ค.) ขยับขึ้นพอสมควร โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 5.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,327.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์

[admin]

[Teerapong]

ตั้งแต่ 27 มีนาคม 2561 ประชาชนที่ไปติดต่อทำธุรกรรมกับส่วนราชการต่าง ๆ เช่น การชำระค่าภาษีต่างๆ การชำระค่าธรรมเนียมการต่อใบขับขี่ ชำระภาษีรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ชำระค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดิน การทำพาสปอต หรืออื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องพกเงินสดไป เพราะสามารถใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต บัตรอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ หรือใช้ Mobile Application ของทุกธนาคารสแกน QR Code เพื่อชำระค่าบริการต่างๆ ได้ทันที ซึ่งสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย โดยสามารถ
ใช้บัตรเดบิตของทุกธนาคารที่ออกในประเทศไทย ชำระได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
ใช้บัตร ATM  ของธนาคารกรุงไทย ชำระได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
ใช้บัตรเดรดิตที่มีสัญลักษณ์ VISA/ MASTER  ของทุกธนาคาร ชำระได้  โดยมีค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารเรียกเก็บ
ใช้การสแกน QR CODE  บน Mobile Application ของทุกธนาคาร ชำระได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

[narjant]

 ขอบคุณครับ   

[admin]

[Teerapong]

ประธาน ECB ต่อไปคือใคร และสำคัญกับ EURUSD อย่างไร อธิบายในปัจจัยพื้นฐานในโพสต์เดียว

"มาริโอ้ ดรากี้" (Mario Draghi) ที่นักเทรดค่าเงิน ต้องรู้จักและคุ้นเคยกันดีในฐานะประธานธนาคารกลางยุโรป  แม้ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจะมีถึง "ตุลาคม" ปี 2019 ซึ่งก็นับว่าอีกหลายเดือนมาก แต่ตลาดได้คาดการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ทายาทที่จะมารับตำแหน่งต่อไปคือใคร

แต่ไม่ว่าก็ตามที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก "ดรากี้" เขาต้องรับภาระที่หนักอึ้งไม่แตกต่างกัน ปัญหาเรื้อรังที่ทราบกันดี "อิตาลี" ภายใต้การบริหารของ "Silvio Berlusconi" สร้างปัญหาที่ฉุดรั้งทั้งสหภาพยุโรป ดอกเบี้ยพันธบัตรสูงสุดถึงขีดสุดตามกฏ "High Risk High Return" สะท้อนว่าไม่มีใครกล้าแบกรับความเสี่ยงเข้าไปรับซื้อ Bond ของอิตาลี

วิธีการเยียวยาปัญหาของอิตาลีที่ผ่านมา คือ การเข้าไปรับซื้อพันธบัตรเพื่อให้กดดันให้ดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำลง ซึ่งทำให้อิตาลีมีภาระการชำระดอกเบี้ยเงินท่าน้ที่ต่ำลง และนี่คือวิธีที่จะรักษา "Eurozone" ให้คงอยู่เหมือนเดิม และนั่นหมายถึงนโยบายแบบผ่อนคลาย หรือการ"กระตุ้นเศรษฐกิจ" ด้วยการรับซื้อพันธบัตร จำเป็นจะต้องมีอยู่!

ปัญหาในอนาคตที่มีแนวโน้มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างความหวาดหวั่นให้กับตลาด คือ ผลสำรวจของ Bloomberg ที่ระบุว่า  เจนส์ เวดมานน์ (Jens Weidmann) ผู้ว่าการธนาคารกลางเยอรมนีคนปัจจุบัน มีโอกาสจะได้เป็นประธาน ECB คนต่อไปมากที่สุด

"เวดมานน์" ไม่เห็นด้วยที่จะให้ Euro Zone คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ "ศูนย์เปอร์เซ็นต์" และพยาการณ์ว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเกิดขึ้นในกลางปี 2562 นั่นสะท้อนมุมมองของเขาที่เป็นนโยบายแบบ "หดตัว" นั่นหมายถึงแนวโน้มที่จะไม่รับซื้อพันธบัตรเพื่อเยียวยาประเทศอย่างอิตาลีด้วย แถม "เสียง" ของคนในเยอรมนีก็มีแนวคิดที่อยากจะ "ตัดทาง" ประเทศที่มีปัญหาเหล่านั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ความกังวลเกี่ยวกับ EURUSD ยิ่งมีมากขึ้นอีก เพราะก่อนหน้านี้ทาง "อาร์โด แฮนสัน" (Ardo Hansson) หนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB เป็นคนกล่าวเองว่า หากตัวเลขเงินเฟ้อถึงเป้า จะยุติการทำ QE หลังกันยายน 2018 นี่คือสิ่งที่นักลงทุนกังวล เพราะต่อให้ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น แต่หากอิตาลีไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เพียงพอก็ยังจะรั้ง Eurozone ให้เติบโตได้ต่ำอยู่ และการตกต่ำของสกุลเงิน EUR ก็ใกล้เข้ามาทุกที

รูปภาพ : Bloomberg