ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

[Teerapong]

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ฉลองชัยชนะหลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาเห็นชอบร่างกฎหมายที่จะนำไปสู่การยกเลิกโอบามาแคร์ ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญหลังรับตำแหน่งผู้นำประเทศมากว่า 3 เดือน

วันนี้ (5 พ.ค.2560) นายโดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมาชิกพรรครีพับลิกัน ร่วมกันฉลองชัยชนะ หลังจากที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ลงมติ 217 ต่อ 213 เสียง เห็นชอบร่างกฎหมายที่จะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (โอบามาแคร์) และนำแผนหลักประกันสุขภาพของรีพับลิกันเข้ามาใช้แทน โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณผู้สนับสนุน พร้อมทั้งประกาศจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อแก้ไขกฎหมายนี้ต่อไป เพื่อประชาชนชาวอเมริกัน

ขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครต รวมถึงกลุ่มผู้คัดค้านที่รวมตัวประท้วงด้านหน้ารัฐสภาสหรัฐฯ ประณามมติในครั้งนี้ว่าเป็นทางเลือกที่ขี้ขลาดและกฎหมายใหม่จะไม่ครอบคลุมเงื่อนไขการคุ้มครองที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคนต้องสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพไป

การประกาศใช้กฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (โอบามาแคร์) ของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เมื่อปี 2553 ส่งผลให้ชาวอเมริกันประมาณ 20 ล้านคนมีสิทธิ์เข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมพ์ระบุระหว่างการหาเสียงว่าจะแก้ไขกฎหมายนี้เพื่อให้ความคุ้มครองครอบคลุมประชาชนมากยิ่งขึ้นและลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความพยายามของทรัมพ์ในการยกเลิกโอบามาแคร์จะยังคงต้องเผชิญกับแรงคัดค้านอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐฯ ในเดือนหน้า เนื่องจากแม้ว่าฝ่ายรีพับลิกันจะเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาแต่ก็มีจำนวนวุฒิสมาชิกมากกว่าเดโมแครตเพียง 2 เสียงเท่านั้น ขณะที่สมาชิกรีพับลิกันบ้างคนเองก็มีจุดยืนที่ต้องการจะร่างกฎหมายหลักประกันสุขภาพขึ้นใหม่แทนที่จะแก้ไขกฎหมายโอบามาแคร์ที่ใช้อยู่เดิม

[admin]

 ชนะสะที ทรัมป์อุปสรรคเยอะ  ส่วนใหญ่จะตามเพราะปากตัวเอง 

[admin]

          ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเชิญนายมุน แจอิน ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ เดินทางเยือนสหรัฐ หลังประธานาธิบดีคนใหม่ สาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวานนี้ หวังหารือแสวงหายุทธศาสตร์ร่วมกันในการแก้ปัญหาเกาหลีเหนือ

          ทั้งนี้ ทำเนียบขาวของสหรัฐ ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมและรอคอยที่จะร่วมมือกับประธานาธิบดีมุน แจอิน 

อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์และนายมุน มีความเห็นแตกต่างกันในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ โดยนายทรัมป์ อยากใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและใช้กำลังทหารหากจำเป็น 

          ขณะที่นายมุน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเกาหลีใต้ ด้วยนโยบายปราบปรามการทุจริต และเขาประกาศว่า จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ด้วยการเจรจาและผลักดันให้ทั้งสองประเทศเปิดโครงการอุตสาหกรรมร่วมกันอีกครั้ง

          ด้านนักวิเคราะห์มองว่า ความหวังของนายมุน ที่จะใช้วิธีเจรจาการทูตลดความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือคงทำได้ไม่ง่ายนัก ในขณะที่เปียงยาง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างขีปนาวุธพิสัยไกลเพื่อส่งหัวรบนิวเคลียร์ไปโจมตีสหรัฐและสั่งกองทัพให้ซ้อมโจมตีกรุงโซลอยู่บ่อยครั้ง

[admin]

สหรัฐฯ  ขายอาวุธ  ซาอุฯ   รับอีกกว่าแสนล้านดอลลาร์ เพื่อหาทุนพยุงประเทศให้อยู่รอด

             สหรัฐฯ เตรียมขายอาวุธให้แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ มูลค่าอาวุธที่สหรัฐฯจะขายให้แก่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ในช่วง 10 ปีข้างหน้าอาจสูงกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันตนเองของซาอุฯแต่ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็จะยังอุดหนุนพันธมิตรหลักอย่างอิสราเอลให้มีแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือชั้นกว่าประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน

             ซาอุดีอาระเบียจะเป็นจุดหมายปลายทางแรกในการไปเยือนต่างประเทศหนแรกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ หวังที่จะผลักดันข้อตกลงจำหน่ายอาวุธแก่ซาอุฯ ทั้งใหม่และเก่ารวมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกเดินทางไปเยือนซาอุฯ ในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ 

             สหรัฐฯ เป็นผู้จัดส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้กับซาอุฯ รายใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ F-15 ระบบการควบคุมทางอากาศ และอื่น ๆ อีกมากมาย สร้างรายได้มหาศาลให้แก่สหรัฐฯ 

             ข้อตกลงขายอาวุธให้ซาอุฯ ล่าสุดนั้น จะประกอบไปด้วย อาวุธยุทโธปกรณ์และบริการซ่อมบำรุงจากอเมริกา, เรือรบ, ระบบป้องกันภัยทางอากาศ รวมถึงระบบที่ช่วยเสริมความมั่นคงทางทะเล โดยการขายอาวุธล็อตใหญ่นี้ จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มศักยภาพกองทัพซาอุฯ ให้สามารถรับมือภัยคุกคามในภูมิภาคได้อย่างเหมาะสม ในขณะที่อิสราเอลก็จะยังมีแสนยานุภาพที่เหนือชั้นกว่า 

             ถึงเวลานี้ สหรัฐฯ เดินหน้าขายอาวุธให้พันธมิตรตะวันออกกลาง เป็นว่าเล่น ไม่ใช่เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคอย่างที่หลายคนคิด แต่เนื่องจากภาวะถังแตกของสหรัฐฯต่างหากจำเป็นต้องหางบประมาณก้อนใหญ่เข้ามาสนับสนุนการบริหารประเทศ เพราะไม่อย่างนั้นสหรัฐฯจะล้มราบเป็นหน้ากลอง อย่างแน่นอน

[admin]

ทรัมป์ชี้มีสิทธิ์ขาดในการแชร์ข้อมูลกับรัสเซีย

​โดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่า เขามีสิทธิ์เด็ดขาดในการตัดสินใจแบ่งปันข้อมูลกับรัสเซีย เพื่อให้การปราบปรามกลุ่มไอเอสมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังถูกวิจารณ์ว่า นำข้อมูลลับของชาติไปแบ่งปันกับรัสเซียโดยไม่ได้รับอนุญาต

​นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯทวีตข้อความยืนยันว่า เขามีสิทธิเด็ดขาดในการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการก่อการร้ายและความปลอดภัยของสายการบินกับรัสเซีย เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเขาก็ต้องการให้รัสเซียยกระดับปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายไอเอสหรือดาอิช

​ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวเดอะ วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า นายทรัมป์ได้แบ่งปันข้อมูลลับสุดยอดเกี่ยวกับแผนการโจมตีของไอเอสด้วยการใช้ แล็ปท็อปบนเครื่องบิน ให้กับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียระหว่างการพบกันที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการแบ่งปันข้อมูลนี้กับรัสเซียอาจทำให้แหล่งข่าวด้านความมั่นคงที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในด้านการเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสถูกเปิดเผย จึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก

​อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยความลับของทรัมป์ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากประธานาธิบดีมีอำนาจในการพิจารณาถอดข้อมูลใดๆออกจากประเภทข้อมูลลับได้ แต่การกระทำดังกล่าวก็ทำให้พรรคเดโมแครตวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และเรียกร้องให้พรรครีพับลิกันอธิบายเรื่องนี้

​ก่อนหน้านี้ นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ได้ออกแถลงการณ์ในนามรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าทั้ง 2 รัฐบาลหารือกันเรื่องความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องข้อมูลที่เป็นประเด็นอ่อนไหว เช่นเดียวกับพลโทเอช. อาร์. แม็คมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายทรัมป์ ที่แถลงข่าวว่าไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องปฏิบัติการทางทหารให้รัฐบาลรัสเซียทราบแต่อย่างใด

[admin]

โดนัลด์ ทรัมป์ แย่แล้ว!! อเมริกันชน ต้องการให้ถอดถอน “โดนัลด์ ทรัมป์” พ้นตำแหน่ง และคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาไม่สามารถทำหน้าที่ได้ครบวาระ

           ได้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนคนอเมริกัน โดยทางด้านพับลิค โพลิซี พูลลิง ซึ่งพบกว่าผู้ถูกสำรวจ 48% สนับสนุนให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ขณะที่ 41% คัดค้านการดำเนินการดังกล่าว 

           ในขณะที่ผู้ถูกสำรวจ 54% ไม่ชื่นชอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ 40% แสดงความชื่นชอบ นอกจากนั้นแล้วผู้ถูกสำรวจ 45% คิดว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระ 4 ปี ขณะที่ 43% คาดว่าเขาจะปฏิบัติหน้าที่ครบวาระ

           ในช่วงที่ เดือนเมษายนที่ผ่านมาก็มีผลสำรวจทำนองนี้ออกมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่ง เป็นการสำรวจขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งครบ 100 ว้นแรก ปรากฏว่า มีคะแนนนิยมที่ต่ำที่สุดนับแต่มีการสำรวจกันมา ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่นั้นคาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงแต่เมื่อรับหน้าที่แล้วไม่สามารถทำได้ตามที่ได้โอ้อวดเอาไว้ และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความขัดแย้งที่ดูจะมากขึ้นเรื่อยๆในพรรคการเมือง ทำให้พลังสนับสนุนที่เคยมีมาแต่เดิมนั้น ได้หายไปอย่างรวดเร็ว

           เวลานี้เหมือนว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งจะถูกโดดเดี่ยวจากบรรดาหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ขณะกับต่างประเทศเอง ก็ยิ่งดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมในทุกภูมิภาคเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นคงต้องดูกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะอยู่ครบเทอม ได้หรือไม่

[Fadhil2557]

เรื่องที่ไม่ควรทำก็ดันไปทำ เรื่องที่ไม่ควรจะพูดก็ดันพูด  เรื่องที่ไม่ควรบอกให้ใครรู้ก็ดันเอามาโพทนา แกคิดอารายของแกไม่เข้าใจเหมือนกัน  เป็นประธานาธิบดีนิ ไม่รู้เลยหรือไงว่าพูดอะไรมากมันไม่ดี นิ่งเสียได้ตำลึงทองสงสัยแกคงไม่รู้นิ

[admin]

              มหาวิทยาลัยอเมริกันทำแบบสำรวจถามประชาชนว่าหากให้นิยามโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคำ 1 คำ จะให้คำว่าอะไร ปรากฏว่าคำยอดฮิตมีทั้ง "โง่" "ไร้น้ำยา" "จอมโกหก" และ "แข็งแกร่ง" ขณะที่คะแนนนิยมในตัวทรัมป์ เหลือเพียงร้อยละ 36 เกือบต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

            มหาวิทยาลัยควินนิเพียค ในมลรัฐคอนเนตทิคัตของสหรัฐฯ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการทำแบบสำรวจความคิดเห็นภายใต้ชื่อ "ควินนิเพียคโพล" จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นที่ชาวอเมริกันมีต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกคำ 1 คำที่คิดว่าเชื่อมโยงกับนายทรัมป์มากที่สุด

            ปรากฏว่าคำยอดนิยมอันดับ 1 ได้แก่ "Idiot" หรือ "โง่" มีผู้เลือกตอบมากถึงร้อยละ 39 ต่อด้วย "Incompetent" หรือ "ไร้น้ำยา" ที่มีคนเลือกร้อยละ 31 และ "Liar" หรือ "จอมโกหก" ร้อยละ 30 แต่ก็มีคำดีๆเช่น "Leader" ที่มีคนเลือกร้อยละ 25 รวมถึง "Strong" ร้อยละ 21



 

[admin]

108 ปัญหารุมเร้า “โดนัลด์ ทรัมป์” เก้าอี้ผู้นำกำลังสั่นคลอน

           หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพส ได้ตีพิมพ์ว่านายเควิน แม็คคาร์ธี ส.ส.พรรครีพับลิกันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวหานายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นได้รับเงินจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน นอกจากนั้นแล้วยังมี พอล ไรอัน ส.ส.พรรครีพับลิกัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เตือนให้นายเควิน แม็คคาร์ธี หยุดพูด พร้อมกับขอให้ ส.ส.ของพรรคทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ให้เก็บคำพูดของเป็นความลับ

           นายเควิน แม็คคาร์ธี ได้ออกมาตอบโต้หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพส ทางทวิสเตอร์ ว่า "นี่เป็นความพยายามบิดเบือนคำพูดขำขันแต่ไม่ขำของผม ด้านโฆษกประจำตัวของนายเควิน แม็คคาร์ธี กล่าวว่า บทสนทนาเมื่อ 1 ปีที่แล้วนายเควิน แม็คคาร์ธี พยายามพูดให้สนุกสนาน ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าผู้นำเสียงข้างมากจะกล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ และสมาชิกพรรคของเรารายอื่นๆ รับเงินจากชาวรัสเซีย ปัญหาก็คือ จะพูดให้มันขำ แต่บุคคลที่ 3 มักคิดว่าเป็นเรื่องจริง และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้

           แม้ว่านายเควิน แม็คคาร์ธี จะอ้างว่า เขาพูดเล่น แต่เรื่องนี้ คงไม่ขำสำหรับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะขณะนี้ตัวเขากำลังถูกการเมืองฝ่ายตรงข้ามเล่นงานอย่างหนัก การทำงานในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ติดขัดไปทุกตารางนิ้ว ก่อนหน้านี้ถึงกับออกปากบ่นกันมาแล้วว่าไม่คิดว่ามันจะเหนื่อย จะหนักขนาดนี้ และความเป็นส่วนตัวก็หายไป แต่ถึงเวลานี้ โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเหนื่อยและหนักมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าเพราะขณะนี้อุปสรรคทุกด้านกำลังรุมเร้าจนทำให้เก้าอี้ผู้นำเริ่มสั่นคลอน

 

[Teerapong]

ความนิยมลดฮวบ
บัณฑิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐอินดีแอนาของสหรัฐจำนวนหนึ่ง พากัน “วอล์กเอาท์” หรือเดินออกจากพิธีในขณะที่รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านนโยบายของรัฐบาล
สื่อสังคมออนไลน์แห่แชร์คลิปขณะบัณฑิตในชุดสำเร็จการศึกษาบางส่วนของมหาวิทยาลัยนอเตอร์เดมจากทั้งหมดราว 2,000 คนลุกขึ้นยืนและเดินออกจากสนามสาธุของมหาวิทยาลัยในขณะที่รองประธานาธิบดีเพนซ์เริ่มกล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันอาทิตย์ (21 พ.ค.) ตามเวลาสหรัฐ
กลุ่มบัณฑิตที่จัดการประท้วงแถลงว่า การเข้าร่วมพิธีและรับปริญญาบัตรจากรองประธานาธิบดีเพนซ์เท่ากับเห็นชอบนโยบายและการกระทำที่ขัดแย้งโดยตรงกับคำสอนทางสังคมและค่านิยมของคริสตชนคาทอลิก อีกทั้งยังเป็นการมุ่งเล่นงานกลุ่มคนที่อ่อนแอในมหาวิทยาลัยด้วย กลุ่มจัดการประท้วงอ้างว่ามีบัณฑิตเดินออกจากพิธีมากกว่า 100 คน หลายคนติดเข็มขัดหรือผูกผ้าสีรุ้งที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศด้วย
นอกจากนี้ กลุ่มบัณฑิตที่ประท้วงกล่าวว่า ไม่พอใจรองประธานาธิบดีเพนซ์ที่เกิดในรัฐอินดีแอนา อีกทั้งเคยเป็นผู้ว่ารัฐนี้และเป็นส.ส.รัฐนี้มานานถึง 12 ปี และต้องการแสดงความไม่พอใจนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่คุกคามเสรีภาพพลเมือง รวมถึงการพยายามห้ามชาวมุสลิมจากบางประเทศเข้าสหรัฐ

[admin]

เอาคนบ้ามาทำงาน พอเห็นผลงานก็สมควรแล้ว ขัดตาทุกเรื่อง 

[Teerapong]

เอาคนบ้ามาทำงาน พอเห็นผลงานก็สมควรแล้ว ขัดตาทุกเรื่อง

   ทรัมป์เขาไม่ได้ทำเพื่อประเทศ ทำเพือประโยชน์ของตัวเอง  ร่วมมือกับลูกพี่ ปูติน   

[admin]

สรุปปากบอกทำเพื่อประเทศตัวเอง  ในทางกลับกันแอบขายประเทศสะงั้น 

[Teerapong]

อิอิ   

[admin]

              นักวิเคราะห์ระบุว่า แผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการขายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ออกครึ่งหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน และบั่นทอนความพยายามของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อลดปริมาณน้ำมันในตลาด

             นายออยสไตน์ เบเรนท์เซน กรรมการผู้จัดการของบริษัทสตรอง ปิโตรเลียม กล่าวว่า แผนของปธน.ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดใจ และจะกระทบต่อความพยายามลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกนายเบเรนท์เซนระบุว่า การขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่งในช่วงเวลา 10 ปี ดังกล่าว จะมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 95,000 บาร์เรล/วัน และจะส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะยาว

การระบายน้ำมัน SPR จะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดเพิ่มขึ้น และส่งผลให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐเพิ่มสู่ระดับ 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย

นอกจากนี้ ข้อเสนอของปธน.ทรัมป์ยังมีขึ้น หลังจากที่โกลด์แมน แซคส์เตือนว่าตลาดน้ำมันเผชิญความเสี่ยงน้ำมันล้นตลาดในปีหน้า ถ้าหากโอเปกและรัสเซียกลับมาเพิ่มการผลิต และสหรัฐเพิ่มการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil)

             ทั้งนี้ ร่างแผนงบประมาณที่ทำเนียบขาวเปิดเผยได้ระบุว่า ปธน.ทรัมป์เสนอให้รัฐบาลสหรัฐทำการขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่ง เพื่อนำรายได้เข้าสู่งบประมาณของประเทศ

ทั้งนี้ แผนของปธน.ทรัมป์จะทำให้มีการขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่งในช่วงปี 2018-2027 เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนต.ค.2018

นอกจากนี้ แผนงบประมาณดังกล่าว ยังได้เสนอให้มีการขุดเจาะ และผลิตน้ำมันมากขึ้นในอลาสกา รัฐบาลจะยื่นงบประมาณดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรสในวันนี้

SPR นับเป็นคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณน้ำมันอยู่ราว 688 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเป็นเวลา 1 สัปดาห์