• กิจกรรมทายผล
  • การแข่งขัน
  • ติดต่อสอบถาม
  • สนับสนุนเว็บบอร์ด


  • หน้าแรก
  • โบรคเกอร์
    • เปรียบเทียบบัญชีโบรคเกอร์
    • ตราวจสอบ Reabate Exness ประจำวัน
    • การแข่งขัน webTrader Contest
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • blogger
 

  • Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์ »
  • สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ »
  • บทความที่น่าสนใจ »
  • กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
  • พิมพ์
หน้า: [1]   ลงล่าง

ผู้เขียน หัวข้อ: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )  (อ่าน 1984 ครั้ง)

ออฟไลน์ narjant

  • ปู่ของบอร์ด
  • *****
  • กระทู้: 7962
  • LIKE: 237
  • จินตนาการสำคัญกว่า ความรู้
    • ดูรายละเอียด
กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 08:17:21 AM »
กองทุนรวมถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจประเภทหนึ่ง นอกเหนือจากนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุนได้ด้วยตัวเองแล้ว กองทุนรวมที่ไปลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุน ก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยข้อดีที่ชัดเจนมากข้อหนึ่งสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมก็คือ การใช้เงินเริ่มต้นในการลงทุนไม่จำเป็นต้องมากนัก ในอดีตนั้น อาจจะเริ่มต้นเงินลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลักหมื่น และลดลงเป็นหลักพัน แต่ในปัจจุบันนี้ กองทุนรวมบางกองที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนั้น อาจจะเริ่มต้นเงินลงทุนเพียง 500 บาทเท่านั้น ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นเล็กลงเรื่อย ๆ การลงทุนในกองทุนรวมยังสามารถกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือได้รับผลของ diversification ได้ดี และเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุนด้วยตัวเองนั้น การกระจายการลงทุน อาจจะจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนไม่น้อยนัก เพราะมีข้อจำกัดในการลงทุนขั้นต่ำสำหรับตราสารหนี้หรือตราสารทุน
การลงทุนใด ๆ ก็ตาม นักลงทุนต้องคำนึงถึง 2 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง (expected return) โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่า “ผลตอบแทนที่คาดหวัง” แทนที่จะใช้คำว่า “ผลตอบแทน” เพราะการตัดสินใจลงทุน ณ เวลาใด ๆ นั้น นักลงทุนจะยังไม่สามารถทราบได้อย่างแน่นอนว่า เมื่อสิ้นสุดการลงทุน (divestment) แล้ว นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจริง ๆ เป็นเท่าไร ซึ่งการที่เราไม่สามารถทราบอย่างแน่นอนว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเท่าไร ก็คือความไม่แน่นอนของการลงทุน หรือที่เรียกว่า “ความเสี่ยง” นั่นเอง
เมื่อการลงทุนใด ๆ นักลงทุนต้องคำนึงถึงเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนแล้ว การลงทุนในกองทุนรวม ก็จำเป็นจะต้องทำความรู้จักกับ 2 เรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในกองทุนรวม
ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวม
การลงทุนในกองทุนรวมก็มีความเสี่ยง ซึ่งหากจะนิยามง่าย ๆ ในเบื้องต้นก็หมายถึง ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้น นักลงทุนไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้อย่างแน่นอน อาจจะพอทราบได้ว่าจากผลการบริหารกองทุนในอดีตที่ผ่านมานั้น กองทุนได้รับผลตอบแทนเท่าไร ซึ่งมักจะแสดงเป็นผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (since inception) หรือผลตอบแทนนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน (year to date) หรืออื่น ๆ ซึ่งการนิยามความเสี่ยงตามความหมายว่า “ความไม่แน่นอน” หรือ uncertainty ก็จะหมายถึงความไม่สามารถทราบผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างแม่นยำ ณ เวลาที่ตัดสินใจลงทุนนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การที่ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อถึงเวลาหยุดการลงทุน (ซึ่งอาจจะหมายถึงเวลาที่ขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้นออกไป หรือกองทุนอาจจะถึงเวลาเลิกกองทุน เป็นต้น) อาจจะไม่เท่ากับผลตอบแทนที่นักลงทุนคิดว่าจะได้รับตอนตัดสินใจลงทุนนั้น อาจจะมีสาเหตุหลายประการ ทั้งความเสี่ยงด้านการตลาดของกองทุนรวม ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนของกองทุนอาจจะแตกต่างไปจากที่คาดหมายอันเนื่องมาจากปัจจัยในระบบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นอาจจะเป็นผลมาจากการจัดโครงสร้างของกองทุน ซึ่งการจัดโครงสร้างของกองทุนนั้น อาจจะมีโครงสร้างง่าย ๆ ไปจนถึงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนมากก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ความเสี่ยงด้านการตลาด (market risk)
โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าของกองทุนรวมก็คือผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนรวมนั้นลงทุน หากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของกองทุนรวมมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้มูลค่าของกองทุนรวมนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย เราอาจจะเคยได้ยินศัพท์คำหนึ่งคือ “มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ” หรือ net asset value – NAV ซึ่งหมายถึงมูลค่าสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งโดยทั่วไปก็คือผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนรวมลงทุน อาจจะหักด้วยภาระผูกพันของกองทุนนั้น (ซึ่งโดยปรกติจะต้องมีน้อยมาก)
สภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ตลาด” นั้น มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น อาจจะมีผลทำให้สินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุนมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมบางอย่างก็อาจจะมีผลต่อกองทุนเอง (นอกเหนือจากมีผลต่อสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน) และทำให้มูลค่าของกองทุนนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุน ซึ่งเมื่อพูดกันอย่างนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงนึกได้ว่า ความเสี่ยงด้านการตลาด หรือ market risk ของกองทุนรวมแต่ละประเภทต้องมีความแตกต่างกัน เปลี่ยนไปตามสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน ยกตัวอย่างคือ กองทุนรวมตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งธรรมชาติของตราสารหนี้นั้น มูลค่าจะมีความเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ก็จะทำให้มูลค่าตราสารหนี้เพิ่มขึ้น และหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าตราสารหนี้ลดลง ดังนั้น กองทุนรวมตราสารหนี้จึงมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะไม่ส่งผลมากนักต่อกองทุนรวมตราสารหนี้
กองทุนรวมตราสารทุน ลงทุนในหุ้นสามัญเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะเน้นการลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก เช่นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ถ้ามี) ก็จะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น รัฐบาลมีการประกาศโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยเม็ดเงินขนาดใหญ่ ก็จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีความเคลื่อนไหวในทิศทางบวก และจะส่งผลทางบวกให้แก่สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมด้งกล่าว
ดังนั้น อาจจะเริ่มมองเห็นในเบื้องต้นแล้วว่า ความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้น จะมีความแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ จึงไม่อาจจะเหมารวมว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมอยู่ในระดับเดียวกันหรือเหมือนกัน และไม่เพียงความเสี่ยงด้านการตลาดของกองทุนรวม (ซึ่งหมายถึงมูลค่าของกองทุนรวม เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในตลาด ซึ่งในทางวิชาการก็คือความเสี่ยงที่เป็นระบบ หรือ systematic risk นั่นเอง) แต่ความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ของการลงทุนในกองทุนรวม ก็แปรเปลี่ยนไปตามประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน
การพูดถึงความเสี่ยงด้านการตลาดนั้น โดยทั่วไปแล้ว จะให้น้ำหนักต่อมูลค่าของกองทุนรวมที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไป และมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมนั้น นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นสามัญ จะมีความคุ้นเคยกับความเสี่ยงประเภทนี้มากที่สุด เพราะการลงทุนในหุ้นสามัญนั้น ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนจะพบก็คือความเสี่ยงที่เกิดจากราคาผันผวน และราคาที่ผันผวนนั้น อาจจะมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในตลาดที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ อาจจะกล่าวได้ว่า นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดแล้วเผชิญกับความเสี่ยงด้านการตลาดจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้น ก็จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านการตลาดจากการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้นด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อชวนคุยมาถึงเรื่องนี้ ทำให้นึกได้ว่าในบางกรณี ความเสี่ยงด้านการตลาดที่นักลงทุนต้องเผชิญจากการลงทุนในกองทุนรวมอาจจะมีความแตกต่างจากการที่นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งได้แก่กรณีของกองทุนรวมตราสารหนี้ เนื่องจากการที่นักลงทุนเลือกลงทุนในตราสารหนี้ด้วยตัวเอง อาจจะเลือกได้ว่าจะถือไว้จนครบกำหนดไถ่ถอนเพื่อรับดอกเบี้ยทุกงวด และได้รับเงินต้นคืนเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ซึ่งโอกาสที่จะถูกผิดนัดจากลูกหนี้อาจจะมีน้อยมาก ถ้าตราสารหนี้นั้นเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือเป็นหุ้นท่าน้ภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูง ๆ และเมื่อนักลงทุนเลือกที่จะถือไว้จนครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว ไม่มีการขายออกก่อนกำหนด ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นักลงทุนไม่มี market exposure ผลก็คือจะไม่มีการเกิดกำไรหรือขาดทุนขึ้น และด้วยเหตุผลดังกล่า ทำให้ในช่วงอายุการลงทุน นักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับให้มูลค่าของตราสารหนี้ที่ตนเองถือครองอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามราคาตลาด หรือที่เรียกว่า mark to market อย่างไรก็ดี กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้นั้น ไม่ว่าจะมีนโยบายอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถแน่ใจได้ว่า การถือครองตราสารหนี้แต่ละหน่วยของกองทุนรวมนั้น จะถือครองจนครบกำหนดไถ่ถอน เพราะในระหว่างการถือครองของกองทุนนั้น นักลงทุนอาจจะต้องการไถ่ถอนกองทุน ซึ่งทำให้กองทุนต้องมีการขายสินทรัพย์ของกองทุนนั้นออก ซึ่งในที่นี้ก็คือตราสารหนี้ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ ด้วยความเป็นจริงอย่างนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้จึงต้องมีการ mark to maket ทุกตราสารหนี้ที่อยู่ในกองทุน จึงทำให้กองทุนรวมนั้นเปิดรับสถานะความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสารหนี้ในตลาด หรือที่เรียกว่ามี market exposure นั่นเอง ประเด็นดังกล่าวนี้เองที่ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ด้วยตัวนักลงทุนเองมีความแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ และอาจจะเป็นกองทุนรวมประเภทเดียวที่นักลงทุนต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนรวม กับการลงทุนในสินทรัพย์นั้นด้วยตัวเอง
ความเสี่ยงด้านราคาของกองทุนรวมตราสารหนี้นั้น อาจจะสามารถดูได้จากตัววัดอย่างเดียวกับที่เห็นในกลุ่มสินทรัพย์ตราสารหนี้ (bond portfolio) ก็คือพิจารณาระดับความเสี่ยงประเภทนี้จาก duration ของกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่ง duration ที่รายงานในกองทุนรวมตราสารหนี้นั้น จะเป็น modified duration หรือเป็น Macaulay duration ก็ได้ ก็จะสามารถทราบระดับความเสี่ยงด้านราคาของกองทุนรวมตราสารหนี้ ในขณะที่กองทุนรวมตราสารทุน หรือกองทุนรวมหุ้นนั้น นักลงทุนอาจจดูได้จาก beta ของกองทุนรวมหุ้น และอาจจะพิจารณาถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่กองทุนรวมหุ้นนั้นลงทุนเป็นหลักประกอบก็ได้ หากนักลงทุนมีพื้นฐานในการวิเคราะห์บ้าง ก็จะสามารถเข้าใจความเสี่ยงประเภทนี้ได้ดีขึ้น
โครงสร้างของกองทุนรวม
การจัดโครงสร้างของกองทุนรวมนั้น อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่โครงสร้างง่าย ๆ ที่ไม่ซับซ้อน อย่างที่เราสามารถเห็นได้จากกองทุนรวม (mutual fund) ทั่วไป ที่เป็นการออกหน่วยลงทุนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่กำหนดไว้ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น เป็นต้น กองทุนประเภทนี้มี 2 ลักษณะใหญ่ คือ กองทุนปิด (close-end fund) และกองทุนเปิด (open-end fund) ซึ่งในปัจจุบัน เราจะเห็นแต่ประเภทหลังคือกองทุนเปิดเท่านั้น เพราะมีความคล่องตัวในการลงทุนของนักลงทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหน่วยลงทุนได้โดยไม่จำกัด กล่าวคือนักลงทุนที่ต้องการหน่วยลงทุนเพิ่มก็สามารถขอซื้อหน่วยลงทุนที่กองทุนออกเพิ่มด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อจำกัด และหากจะลดการลงทุนลง ก็เพียงแต่ขายหน่วยออกไปด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเช่นเดียวกัน ต่างจากกองทุนปิด ที่มีจำนวนหน่วยลงทุนที่จำกัดแน่นอน ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการซื้อหน่วยลงทุน ก็ต้องซื้อจากนักลงทุนคนอื่นในตลาดรอง หรือต้องการลดการลงทุนของตัวเองลง ก็ต้องขายหน่วยลงทุนนั้นในตลาดรอง จึงเป็นข้อกำหนดสำคัญข้อหนึ่งของกองทุนปิดที่จะต้องมีการนำหน่วยลงทุนของกองทุนปิดไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลาดรอง) เพื่อให้นักลงทุนสามารถเปลี่ยนมือได้ ในขณะที่กองทุนเปิดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนในตลาดรอง เพราะสามารถเพิ่มลดการลงทุนของตัวเองกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นผู้ออกกองทุนนั้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
การยกตัวอย่างกองทุนปิดและกองทุนเปิดดังกล่าวนั้น โยงกับความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องเผชิญโดยทั่วไป ก็คือความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หรือ liquidity risk ของนักลงทุน ความเสี่ยงประเภทนี้คือความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุนอยู่ได้ เพราะไม่มีผู้ต้องการสินทรัพย์นั้น หรือหากจะขายได้ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และต้องลดราคา (discount) ลงไปมากเพื่อให้ขายได้ ในทางตรงข้าม นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์นั้น อาจจะไม่สามารถซื้อหาสินทรัพย์นั้นได้โดยง่าย หรือหากจะซื้อให้ได้ ก็จำเป็นจะต้องจ่ายในราคาที่แพงเกินกว่าสมควร (premium) ซึ่งเป็นปัญหาเพราะสินทรัพย์นั้นขาดสภาพคล่อง การจัดโครงสร้างกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนปิดหรือกองทุนเปิด จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องดังที่กล่าวนั้น โดยที่กองทุนปิด กำหนดให้มีการจดทะเบียนในตลาดรอง เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง และกองทุนเปิดสามารถเพิ่มลดหน่วยลงทุนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
นอกเหนือจากกองทุนรวม หรือ mutual fund ซึ่งนิยมออกเป็นกองทุนเปิด และมีวัตถุประสงค์หลักให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ง่าย และตรงตามความต้องการในการลงทุนแล้ว ก็จะมีกองทุนอีกหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะเป็นกองทุนปิดเป็นส่วนใหญ่ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (property fund) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) เป็นต้น โดยที่กองทุนรวมทั้งสองประเภทนี้ มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จัดตั้งขึ้นโดยมีขนาดที่แน่นอน และนโยบายการลงทุนก็จำกัดอยู่เพียงสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น อย่างไรก็ดี อสังหาริมทรัพย์มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย หรือ residential property หรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือ commercial property และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ก็อาจจะแบ่งประเภทไปตามลักษณะของที่อยู่อาศัยที่กองทุนนั้นไปลงทุน เช่น อาคารชุดคอนโดมิเนียม หอพักนักศึกษา เป็นต้น ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์นั้น อาจจะมีประเภทย่อย ๆ อีกหลายประเภท เช่น คลังสินค้า โรงงานสำเร็จรูป เป็นต้น ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน อย่างไรก็ดี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จะไม่มีกองใหม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะในอดีตนั้น กองทุนรวมประเภทนี้เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากส่วนแบ่งกำไรแก่ผู้ลงทุน เป็นการจูงใจให้เกิดการลงทุน ดังนั้น เมื่อปัจจุบันไม่มีปัญหาในอุตสาหกรรมนี้อีกต่อไป กองทุนรวมประเภทนี้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกกองใหม่อีกต่อไป
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานหรือ infrastructure fund ก็เป็นกองทุนรวมแบบกองปิดอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่เข้านิยามของโครงสร้างพื้นฐาน 12 ประเภท ได้แก่ ระบบขนส่งทางราง หรือทางท่อ ไฟฟ้า ประปา ถนน หรือทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยาน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำ หรือการชลประทาน ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ระบบจัดการของเสีย และอาจจะเป็นการรวมมากกว่า 1 ประเภทของ 11 ประเภทข้างต้น นักลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนี้ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ยกเว้นภาษีจากส่วนแบ่งกำไร
การที่กองทุนรวมทั้งสองประเภท คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีลักษณะเป็นกองทุนปิด และมีขนาดของกองทุนที่แน่นอน ทำให้ผู้ออกกองทุนนั้น อาจจะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐาน และใช้อสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากการก่อสร้างของตนเองนั้น เป็นสินทรัพย์พื้นฐาน (underlying asset) เพื่อจัดโครงสร้างให้เกิดเป็นหน่วยลงทุน คล้ายกับกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (securitization) ซึ่งการจัดโครงสร้างดังกล่าวสำหรับกองทุนนั้น ก็จำเป็นจะต้องมีการขายสินทรัพย์เข้ากอง และพยายามให้เกิดการขายจริง (true sale) เพื่อให้ได้เงินจากการขายนั้น และอาจจะนำเงินที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้น ไปใช้ในการขยายกิจการต่อไป จึงอาจจะพิจารณาได้ว่า การออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของเจ้าของทรัพย์สิน หรือเจ้าของโครงการ จัดเป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อจัดหาเงินทุน (financing) ซึ่งเราจะเห็นว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย ได้ใช้การจัดโครงสร้างของกองทุน เป็นการจัดหาเงินทุนอย่างชัดเจน รวมทั้งผู้ดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ออกมาให้นักลงทุนได้ลงทุนกันในขณะนี้ (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันมี 4 กองทุน ได้แก่ BTSGF, TRUEIF, JASIF, และ EGATIF) ก็ใช้ทรัพย์สินของโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ตนเองได้ก่อสร้างหรือจัดสร้างขึ้นนั้น เป็นเครื่องมือจัดหาเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการต่อไป
อย่างไรก็ดี การจัดโครงสร้างด้วยการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน (ไม่ว่าสินทรัพย์จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐานก็ตาม) สินทรัพย์เหล่านั้นเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อไปในอนาคต ดังนั้น กองทุนที่มีสินทรัพย์เหล่านั้นอยู่ในกองทุน ก็จะได้รับรายได้อย่างสม่ำเสมอ รายได้นั้นหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ก็จะนำไปแบ่งปันให้กับนักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนนั้น
ในบางกรณี การจัดโครงสร้างอาจจะไม่ได้ขายสินทรัพย์จริง ๆ เข้ากองทุน แต่เป็นการขายกระแสรายได้ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ในกรณีเช่นนี้ นักลงทุนที่ลงทุนในหน่วยลงทุน ก็ยังคงจะได้รายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน โดยอาจจะไม่รู้สึกแตกต่างจากกรณีแรกที่เป็นขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้จริง ๆ จึงอาจจะสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะจัดโครงสร้างของกองทุนลักษณะใด นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน อาจจะแตกต่างกันเพียงอัตราผลตอบแทนที่จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ลักษณะของสินทรัพย์และระดับของความเสี่ยงเท่านั้น
ถึงแม้ว่านักลงทุนจะไม่รู้สึกแตกต่างจากการจัดโครงสร้างใน 2 ลักษณะนั้น แต่สำหรับผู้ขายสินทรัพย์เข้ากองทุน หรือขายกระแสรายได้เข้ากองทุน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหาเงินทุนนั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะ 2 กรณีดังกล่าวนั้น จะมีผลในโครงสร้างเงินทุนของผู้ขายสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ หากการขายสินทรัพย์นั้นทำได้จริงสมบูรณ์ในลักษณะที่เป็น True sale นั้น จะนับเป็นการเปลี่ยนสภาพของสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง (อสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐาน) ให้เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูง (เงินสด) โดยไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนมีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับกรณีที่ไม่สามารถขายสินทรัพย์เข้ากองจริงในลักษณะ True sale นั้น แต่เป็นการขายรายได้ในอนาคต (future revenue) เท่านั้น จะนับว่าเงินสดที่ได้มาจากการขายหน่วยลงทุนนั้น เป็นการก่อหนี้ (debt financing) ซึ่งจะมีผลทำให้โครงสร้างเงินทุนของผู้ขายรายได้ในอนาคตนั้น มีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับเงินสดที่ได้รับ
ผลตอบแทนของกองทุนรวม
เรื่องของกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ที่ได้คุยกันมาตั้งแต่ต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วเน้นเรื่องความเสี่ยง และลักษณะการจัดโครงสร้างของกองทุนแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากกองทุนให้เข้าใจเป็นเรื่องเป็นราว
ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากกองทุนรวมนั้น ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ ก็จะสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ย และกำไรขาดทุนจากการซื้อขายตราสารหนี้ ผลตอบแทนทั้งสองรูปแบบนั้นรวมกัน ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แบ่งปันให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้ ในขณะที่กองทุนรวมตราสารทุน ก็จะสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นสามัญที่กองทุนนั้นลงทุน กับกำไรขาดทุนจากการซื้อขายหุ้นสามัญ ผลตอบแทนทั้งสองรูปแบบนี้รวมกัน ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แบ่งปันให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุน
แค่เริ่มต้นด้วยกองทุนรวมสองประเภทนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนที่ได้จากกองทุนรวมตราสารหนี้ ก็มักจะมีลักษณะนิ่ง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ตามลักษณะของการลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนนั้น ก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า อย่างไรก็ดี ถ้าทั้งสองกองทุนรวมนี้เป็นกองทุนรวมที่ไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน ก็จะเก็บผลประโยชน์ต่าง ๆ นั้นไปลงทุนต่อ ซึ่งจะทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นกองทุนรวมตราสารทุน อาจจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเปลี่ยนแปลงได้มาก เพราะผลของกำไรหรือขาดทุนจากหุ้นสามัญมีความสั่นไหวเปลี่ยนแปลงมาก
ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนั้น จะมีลักษณะของผลตอบแทนที่ค่อนข้างนิ่ง และเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นงวด ๆ ซึ่งลักษณะของผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือหน่วยลงทุนของกองทุนประเภทนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าการลงทุนในตราสารทุน
ความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแต่ละประเภทนั้น ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนมากเกินไป หลักการพื้นฐานก็คือ ประการแรก ต้องเข้าใจถึงลักษณะของสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นไปลงทุน ประการที่สอง ต้องเข้าใจการจัดโครงสร้างของกองทุนแต่ละประเภท รวมทั้งลักษณะผลตอบแทนที่จะแบ่งปันให้ผู้ถือหน่วย เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นงวด ๆ หรือไม่จ่ายเงินปันผล แต่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้นักลงทุนได้รับส่วนต่างเป็นกำไรจากการซื้อขายหน่วยลงทุน
เมื่อเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแล้ว นักลงทุนก็คงจะเห็นว่า การลงทุนในกองทุนรวม ให้ผลดีอย่างที่กล่าวข้างต้น คือ ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีมืออาชีพดูแลให้ ระดับความเสี่ยงไม่สูงมาก เพราะมีผลจากการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงลง นักลงทุนก็จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหน่วยลงทุนได้ไม่ยากครับ
บันทึกการเข้า
พอร์ต เขียว หมื่นปี หมื่น หมื่น ปี

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • Gold Master
  • *****
  • กระทู้: 44198
  • LIKE: 482
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 08:29:26 AM »
ขอบคุณครับ ยาวจังเดียว ค่อยอ่านครับ 
บันทึกการเข้า
forex เป็นการลงทุนที่มีความเสียงสูงผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

ออฟไลน์ dakillerz

  • Silver
  • ****
  • กระทู้: 2380
  • LIKE: 52
  • เจ็บแล้วจำคือคน(ทั่วไป) เจ็บแล้วทนคือ "เทรดเดอร์ "
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 08:39:24 AM »
กองทุนรวมของผมตอนนี้ก็ติดลบนะครับ  m:4 m:4
บันทึกการเข้า
สู้ต่อไป!! ตราบใดที่ยังมี "ไฟ" อยู่

ออฟไลน์ wee

  • Gold
  • *****
  • กระทู้: 3183
  • LIKE: 83
  • WebTrader
    • ดูรายละเอียด
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 08:56:11 AM »
อ้างจาก: narjant ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 08:17:21 AM
กองทุนรวมถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจประเภทหนึ่ง นอกเหนือจากนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุนได้ด้วยตัวเองแล้ว กองทุนรวมที่ไปลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุน ก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยข้อดีที่ชัดเจนมากข้อหนึ่งสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมก็คือ การใช้เงินเริ่มต้นในการลงทุนไม่จำเป็นต้องมากนัก ในอดีตนั้น อาจจะเริ่มต้นเงินลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลักหมื่น และลดลงเป็นหลักพัน แต่ในปัจจุบันนี้ กองทุนรวมบางกองที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนั้น อาจจะเริ่มต้นเงินลงทุนเพียง 500 บาทเท่านั้น ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นเล็กลงเรื่อย ๆ การลงทุนในกองทุนรวมยังสามารถกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือได้รับผลของ diversification ได้ดี และเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุนด้วยตัวเองนั้น การกระจายการลงทุน อาจจะจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนไม่น้อยนัก เพราะมีข้อจำกัดในการลงทุนขั้นต่ำสำหรับตราสารหนี้หรือตราสารทุน
การลงทุนใด ๆ ก็ตาม นักลงทุนต้องคำนึงถึง 2 เรื่องหลัก ได้แก่ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง (expected return) โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่า “ผลตอบแทนที่คาดหวัง” แทนที่จะใช้คำว่า “ผลตอบแทน” เพราะการตัดสินใจลงทุน ณ เวลาใด ๆ นั้น นักลงทุนจะยังไม่สามารถทราบได้อย่างแน่นอนว่า เมื่อสิ้นสุดการลงทุน (divestment) แล้ว นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจริง ๆ เป็นเท่าไร ซึ่งการที่เราไม่สามารถทราบอย่างแน่นอนว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเท่าไร ก็คือความไม่แน่นอนของการลงทุน หรือที่เรียกว่า “ความเสี่ยง” นั่นเอง
เมื่อการลงทุนใด ๆ นักลงทุนต้องคำนึงถึงเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนแล้ว การลงทุนในกองทุนรวม ก็จำเป็นจะต้องทำความรู้จักกับ 2 เรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในกองทุนรวม
ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวม
การลงทุนในกองทุนรวมก็มีความเสี่ยง ซึ่งหากจะนิยามง่าย ๆ ในเบื้องต้นก็หมายถึง ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้น นักลงทุนไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้อย่างแน่นอน อาจจะพอทราบได้ว่าจากผลการบริหารกองทุนในอดีตที่ผ่านมานั้น กองทุนได้รับผลตอบแทนเท่าไร ซึ่งมักจะแสดงเป็นผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (since inception) หรือผลตอบแทนนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน (year to date) หรืออื่น ๆ ซึ่งการนิยามความเสี่ยงตามความหมายว่า “ความไม่แน่นอน” หรือ uncertainty ก็จะหมายถึงความไม่สามารถทราบผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างแม่นยำ ณ เวลาที่ตัดสินใจลงทุนนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การที่ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อถึงเวลาหยุดการลงทุน (ซึ่งอาจจะหมายถึงเวลาที่ขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้นออกไป หรือกองทุนอาจจะถึงเวลาเลิกกองทุน เป็นต้น) อาจจะไม่เท่ากับผลตอบแทนที่นักลงทุนคิดว่าจะได้รับตอนตัดสินใจลงทุนนั้น อาจจะมีสาเหตุหลายประการ ทั้งความเสี่ยงด้านการตลาดของกองทุนรวม ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนของกองทุนอาจจะแตกต่างไปจากที่คาดหมายอันเนื่องมาจากปัจจัยในระบบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นอาจจะเป็นผลมาจากการจัดโครงสร้างของกองทุน ซึ่งการจัดโครงสร้างของกองทุนนั้น อาจจะมีโครงสร้างง่าย ๆ ไปจนถึงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนมากก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ความเสี่ยงด้านการตลาด (market risk)
โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าของกองทุนรวมก็คือผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนรวมนั้นลงทุน หากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของกองทุนรวมมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้มูลค่าของกองทุนรวมนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย เราอาจจะเคยได้ยินศัพท์คำหนึ่งคือ “มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ” หรือ net asset value – NAV ซึ่งหมายถึงมูลค่าสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งโดยทั่วไปก็คือผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนรวมลงทุน อาจจะหักด้วยภาระผูกพันของกองทุนนั้น (ซึ่งโดยปรกติจะต้องมีน้อยมาก)
สภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ตลาด” นั้น มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น อาจจะมีผลทำให้สินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุนมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมบางอย่างก็อาจจะมีผลต่อกองทุนเอง (นอกเหนือจากมีผลต่อสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน) และทำให้มูลค่าของกองทุนนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากผลรวมของมูลค่าสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุน ซึ่งเมื่อพูดกันอย่างนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงนึกได้ว่า ความเสี่ยงด้านการตลาด หรือ market risk ของกองทุนรวมแต่ละประเภทต้องมีความแตกต่างกัน เปลี่ยนไปตามสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน ยกตัวอย่างคือ กองทุนรวมตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งธรรมชาติของตราสารหนี้นั้น มูลค่าจะมีความเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ก็จะทำให้มูลค่าตราสารหนี้เพิ่มขึ้น และหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าตราสารหนี้ลดลง ดังนั้น กองทุนรวมตราสารหนี้จึงมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะไม่ส่งผลมากนักต่อกองทุนรวมตราสารหนี้
กองทุนรวมตราสารทุน ลงทุนในหุ้นสามัญเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะเน้นการลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก เช่นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ถ้ามี) ก็จะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น รัฐบาลมีการประกาศโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยเม็ดเงินขนาดใหญ่ ก็จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีความเคลื่อนไหวในทิศทางบวก และจะส่งผลทางบวกให้แก่สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมด้งกล่าว
ดังนั้น อาจจะเริ่มมองเห็นในเบื้องต้นแล้วว่า ความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้น จะมีความแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ จึงไม่อาจจะเหมารวมว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมอยู่ในระดับเดียวกันหรือเหมือนกัน และไม่เพียงความเสี่ยงด้านการตลาดของกองทุนรวม (ซึ่งหมายถึงมูลค่าของกองทุนรวม เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในตลาด ซึ่งในทางวิชาการก็คือความเสี่ยงที่เป็นระบบ หรือ systematic risk นั่นเอง) แต่ความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ของการลงทุนในกองทุนรวม ก็แปรเปลี่ยนไปตามประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน
การพูดถึงความเสี่ยงด้านการตลาดนั้น โดยทั่วไปแล้ว จะให้น้ำหนักต่อมูลค่าของกองทุนรวมที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไป และมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมนั้น นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นสามัญ จะมีความคุ้นเคยกับความเสี่ยงประเภทนี้มากที่สุด เพราะการลงทุนในหุ้นสามัญนั้น ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนจะพบก็คือความเสี่ยงที่เกิดจากราคาผันผวน และราคาที่ผันผวนนั้น อาจจะมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในตลาดที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ อาจจะกล่าวได้ว่า นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดแล้วเผชิญกับความเสี่ยงด้านการตลาดจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้น ก็จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านการตลาดจากการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้นด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อชวนคุยมาถึงเรื่องนี้ ทำให้นึกได้ว่าในบางกรณี ความเสี่ยงด้านการตลาดที่นักลงทุนต้องเผชิญจากการลงทุนในกองทุนรวมอาจจะมีความแตกต่างจากการที่นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งได้แก่กรณีของกองทุนรวมตราสารหนี้ เนื่องจากการที่นักลงทุนเลือกลงทุนในตราสารหนี้ด้วยตัวเอง อาจจะเลือกได้ว่าจะถือไว้จนครบกำหนดไถ่ถอนเพื่อรับดอกเบี้ยทุกงวด และได้รับเงินต้นคืนเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ซึ่งโอกาสที่จะถูกผิดนัดจากลูกหนี้อาจจะมีน้อยมาก ถ้าตราสารหนี้นั้นเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือเป็นหุ้นท่าน้ภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูง ๆ และเมื่อนักลงทุนเลือกที่จะถือไว้จนครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว ไม่มีการขายออกก่อนกำหนด ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นักลงทุนไม่มี market exposure ผลก็คือจะไม่มีการเกิดกำไรหรือขาดทุนขึ้น และด้วยเหตุผลดังกล่า ทำให้ในช่วงอายุการลงทุน นักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับให้มูลค่าของตราสารหนี้ที่ตนเองถือครองอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามราคาตลาด หรือที่เรียกว่า mark to market อย่างไรก็ดี กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้นั้น ไม่ว่าจะมีนโยบายอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถแน่ใจได้ว่า การถือครองตราสารหนี้แต่ละหน่วยของกองทุนรวมนั้น จะถือครองจนครบกำหนดไถ่ถอน เพราะในระหว่างการถือครองของกองทุนนั้น นักลงทุนอาจจะต้องการไถ่ถอนกองทุน ซึ่งทำให้กองทุนต้องมีการขายสินทรัพย์ของกองทุนนั้นออก ซึ่งในที่นี้ก็คือตราสารหนี้ที่กองทุนนั้นลงทุนอยู่ ด้วยความเป็นจริงอย่างนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้จึงต้องมีการ mark to maket ทุกตราสารหนี้ที่อยู่ในกองทุน จึงทำให้กองทุนรวมนั้นเปิดรับสถานะความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสารหนี้ในตลาด หรือที่เรียกว่ามี market exposure นั่นเอง ประเด็นดังกล่าวนี้เองที่ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ด้วยตัวนักลงทุนเองมีความแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ และอาจจะเป็นกองทุนรวมประเภทเดียวที่นักลงทุนต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนรวม กับการลงทุนในสินทรัพย์นั้นด้วยตัวเอง
ความเสี่ยงด้านราคาของกองทุนรวมตราสารหนี้นั้น อาจจะสามารถดูได้จากตัววัดอย่างเดียวกับที่เห็นในกลุ่มสินทรัพย์ตราสารหนี้ (bond portfolio) ก็คือพิจารณาระดับความเสี่ยงประเภทนี้จาก duration ของกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่ง duration ที่รายงานในกองทุนรวมตราสารหนี้นั้น จะเป็น modified duration หรือเป็น Macaulay duration ก็ได้ ก็จะสามารถทราบระดับความเสี่ยงด้านราคาของกองทุนรวมตราสารหนี้ ในขณะที่กองทุนรวมตราสารทุน หรือกองทุนรวมหุ้นนั้น นักลงทุนอาจจดูได้จาก beta ของกองทุนรวมหุ้น และอาจจะพิจารณาถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่กองทุนรวมหุ้นนั้นลงทุนเป็นหลักประกอบก็ได้ หากนักลงทุนมีพื้นฐานในการวิเคราะห์บ้าง ก็จะสามารถเข้าใจความเสี่ยงประเภทนี้ได้ดีขึ้น
โครงสร้างของกองทุนรวม
การจัดโครงสร้างของกองทุนรวมนั้น อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่โครงสร้างง่าย ๆ ที่ไม่ซับซ้อน อย่างที่เราสามารถเห็นได้จากกองทุนรวม (mutual fund) ทั่วไป ที่เป็นการออกหน่วยลงทุนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่กำหนดไว้ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น เป็นต้น กองทุนประเภทนี้มี 2 ลักษณะใหญ่ คือ กองทุนปิด (close-end fund) และกองทุนเปิด (open-end fund) ซึ่งในปัจจุบัน เราจะเห็นแต่ประเภทหลังคือกองทุนเปิดเท่านั้น เพราะมีความคล่องตัวในการลงทุนของนักลงทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหน่วยลงทุนได้โดยไม่จำกัด กล่าวคือนักลงทุนที่ต้องการหน่วยลงทุนเพิ่มก็สามารถขอซื้อหน่วยลงทุนที่กองทุนออกเพิ่มด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อจำกัด และหากจะลดการลงทุนลง ก็เพียงแต่ขายหน่วยออกไปด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเช่นเดียวกัน ต่างจากกองทุนปิด ที่มีจำนวนหน่วยลงทุนที่จำกัดแน่นอน ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการซื้อหน่วยลงทุน ก็ต้องซื้อจากนักลงทุนคนอื่นในตลาดรอง หรือต้องการลดการลงทุนของตัวเองลง ก็ต้องขายหน่วยลงทุนนั้นในตลาดรอง จึงเป็นข้อกำหนดสำคัญข้อหนึ่งของกองทุนปิดที่จะต้องมีการนำหน่วยลงทุนของกองทุนปิดไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลาดรอง) เพื่อให้นักลงทุนสามารถเปลี่ยนมือได้ ในขณะที่กองทุนเปิดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนในตลาดรอง เพราะสามารถเพิ่มลดการลงทุนของตัวเองกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นผู้ออกกองทุนนั้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
การยกตัวอย่างกองทุนปิดและกองทุนเปิดดังกล่าวนั้น โยงกับความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องเผชิญโดยทั่วไป ก็คือความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หรือ liquidity risk ของนักลงทุน ความเสี่ยงประเภทนี้คือความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุนอยู่ได้ เพราะไม่มีผู้ต้องการสินทรัพย์นั้น หรือหากจะขายได้ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และต้องลดราคา (discount) ลงไปมากเพื่อให้ขายได้ ในทางตรงข้าม นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์นั้น อาจจะไม่สามารถซื้อหาสินทรัพย์นั้นได้โดยง่าย หรือหากจะซื้อให้ได้ ก็จำเป็นจะต้องจ่ายในราคาที่แพงเกินกว่าสมควร (premium) ซึ่งเป็นปัญหาเพราะสินทรัพย์นั้นขาดสภาพคล่อง การจัดโครงสร้างกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนปิดหรือกองทุนเปิด จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องดังที่กล่าวนั้น โดยที่กองทุนปิด กำหนดให้มีการจดทะเบียนในตลาดรอง เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง และกองทุนเปิดสามารถเพิ่มลดหน่วยลงทุนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
นอกเหนือจากกองทุนรวม หรือ mutual fund ซึ่งนิยมออกเป็นกองทุนเปิด และมีวัตถุประสงค์หลักให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ง่าย และตรงตามความต้องการในการลงทุนแล้ว ก็จะมีกองทุนอีกหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะเป็นกองทุนปิดเป็นส่วนใหญ่ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (property fund) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) เป็นต้น โดยที่กองทุนรวมทั้งสองประเภทนี้ มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จัดตั้งขึ้นโดยมีขนาดที่แน่นอน และนโยบายการลงทุนก็จำกัดอยู่เพียงสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น อย่างไรก็ดี อสังหาริมทรัพย์มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย หรือ residential property หรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือ commercial property และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ก็อาจจะแบ่งประเภทไปตามลักษณะของที่อยู่อาศัยที่กองทุนนั้นไปลงทุน เช่น อาคารชุดคอนโดมิเนียม หอพักนักศึกษา เป็นต้น ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์นั้น อาจจะมีประเภทย่อย ๆ อีกหลายประเภท เช่น คลังสินค้า โรงงานสำเร็จรูป เป็นต้น ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน อย่างไรก็ดี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จะไม่มีกองใหม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะในอดีตนั้น กองทุนรวมประเภทนี้เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากส่วนแบ่งกำไรแก่ผู้ลงทุน เป็นการจูงใจให้เกิดการลงทุน ดังนั้น เมื่อปัจจุบันไม่มีปัญหาในอุตสาหกรรมนี้อีกต่อไป กองทุนรวมประเภทนี้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกกองใหม่อีกต่อไป
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานหรือ infrastructure fund ก็เป็นกองทุนรวมแบบกองปิดอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่เข้านิยามของโครงสร้างพื้นฐาน 12 ประเภท ได้แก่ ระบบขนส่งทางราง หรือทางท่อ ไฟฟ้า ประปา ถนน หรือทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยาน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำ หรือการชลประทาน ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ระบบจัดการของเสีย และอาจจะเป็นการรวมมากกว่า 1 ประเภทของ 11 ประเภทข้างต้น นักลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนี้ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ยกเว้นภาษีจากส่วนแบ่งกำไร
การที่กองทุนรวมทั้งสองประเภท คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีลักษณะเป็นกองทุนปิด และมีขนาดของกองทุนที่แน่นอน ทำให้ผู้ออกกองทุนนั้น อาจจะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐาน และใช้อสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากการก่อสร้างของตนเองนั้น เป็นสินทรัพย์พื้นฐาน (underlying asset) เพื่อจัดโครงสร้างให้เกิดเป็นหน่วยลงทุน คล้ายกับกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (securitization) ซึ่งการจัดโครงสร้างดังกล่าวสำหรับกองทุนนั้น ก็จำเป็นจะต้องมีการขายสินทรัพย์เข้ากอง และพยายามให้เกิดการขายจริง (true sale) เพื่อให้ได้เงินจากการขายนั้น และอาจจะนำเงินที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้น ไปใช้ในการขยายกิจการต่อไป จึงอาจจะพิจารณาได้ว่า การออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของเจ้าของทรัพย์สิน หรือเจ้าของโครงการ จัดเป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อจัดหาเงินทุน (financing) ซึ่งเราจะเห็นว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย ได้ใช้การจัดโครงสร้างของกองทุน เป็นการจัดหาเงินทุนอย่างชัดเจน รวมทั้งผู้ดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ออกมาให้นักลงทุนได้ลงทุนกันในขณะนี้ (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันมี 4 กองทุน ได้แก่ BTSGF, TRUEIF, JASIF, และ EGATIF) ก็ใช้ทรัพย์สินของโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ตนเองได้ก่อสร้างหรือจัดสร้างขึ้นนั้น เป็นเครื่องมือจัดหาเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการต่อไป
อย่างไรก็ดี การจัดโครงสร้างด้วยการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน (ไม่ว่าสินทรัพย์จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐานก็ตาม) สินทรัพย์เหล่านั้นเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อไปในอนาคต ดังนั้น กองทุนที่มีสินทรัพย์เหล่านั้นอยู่ในกองทุน ก็จะได้รับรายได้อย่างสม่ำเสมอ รายได้นั้นหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ก็จะนำไปแบ่งปันให้กับนักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนนั้น
ในบางกรณี การจัดโครงสร้างอาจจะไม่ได้ขายสินทรัพย์จริง ๆ เข้ากองทุน แต่เป็นการขายกระแสรายได้ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ในกรณีเช่นนี้ นักลงทุนที่ลงทุนในหน่วยลงทุน ก็ยังคงจะได้รายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน โดยอาจจะไม่รู้สึกแตกต่างจากกรณีแรกที่เป็นขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้จริง ๆ จึงอาจจะสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะจัดโครงสร้างของกองทุนลักษณะใด นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน อาจจะแตกต่างกันเพียงอัตราผลตอบแทนที่จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ลักษณะของสินทรัพย์และระดับของความเสี่ยงเท่านั้น
ถึงแม้ว่านักลงทุนจะไม่รู้สึกแตกต่างจากการจัดโครงสร้างใน 2 ลักษณะนั้น แต่สำหรับผู้ขายสินทรัพย์เข้ากองทุน หรือขายกระแสรายได้เข้ากองทุน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหาเงินทุนนั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะ 2 กรณีดังกล่าวนั้น จะมีผลในโครงสร้างเงินทุนของผู้ขายสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ หากการขายสินทรัพย์นั้นทำได้จริงสมบูรณ์ในลักษณะที่เป็น True sale นั้น จะนับเป็นการเปลี่ยนสภาพของสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง (อสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐาน) ให้เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูง (เงินสด) โดยไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนมีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับกรณีที่ไม่สามารถขายสินทรัพย์เข้ากองจริงในลักษณะ True sale นั้น แต่เป็นการขายรายได้ในอนาคต (future revenue) เท่านั้น จะนับว่าเงินสดที่ได้มาจากการขายหน่วยลงทุนนั้น เป็นการก่อหนี้ (debt financing) ซึ่งจะมีผลทำให้โครงสร้างเงินทุนของผู้ขายรายได้ในอนาคตนั้น มีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับเงินสดที่ได้รับ
ผลตอบแทนของกองทุนรวม
เรื่องของกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ที่ได้คุยกันมาตั้งแต่ต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วเน้นเรื่องความเสี่ยง และลักษณะการจัดโครงสร้างของกองทุนแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากกองทุนให้เข้าใจเป็นเรื่องเป็นราว
ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากกองทุนรวมนั้น ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นลงทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ ก็จะสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ย และกำไรขาดทุนจากการซื้อขายตราสารหนี้ ผลตอบแทนทั้งสองรูปแบบนั้นรวมกัน ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แบ่งปันให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้ ในขณะที่กองทุนรวมตราสารทุน ก็จะสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นสามัญที่กองทุนนั้นลงทุน กับกำไรขาดทุนจากการซื้อขายหุ้นสามัญ ผลตอบแทนทั้งสองรูปแบบนี้รวมกัน ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แบ่งปันให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุน
แค่เริ่มต้นด้วยกองทุนรวมสองประเภทนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนที่ได้จากกองทุนรวมตราสารหนี้ ก็มักจะมีลักษณะนิ่ง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ตามลักษณะของการลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนนั้น ก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า อย่างไรก็ดี ถ้าทั้งสองกองทุนรวมนี้เป็นกองทุนรวมที่ไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน ก็จะเก็บผลประโยชน์ต่าง ๆ นั้นไปลงทุนต่อ ซึ่งจะทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นกองทุนรวมตราสารทุน อาจจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเปลี่ยนแปลงได้มาก เพราะผลของกำไรหรือขาดทุนจากหุ้นสามัญมีความสั่นไหวเปลี่ยนแปลงมาก
ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนั้น จะมีลักษณะของผลตอบแทนที่ค่อนข้างนิ่ง และเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นงวด ๆ ซึ่งลักษณะของผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือหน่วยลงทุนของกองทุนประเภทนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าการลงทุนในตราสารทุน
ความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแต่ละประเภทนั้น ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนมากเกินไป หลักการพื้นฐานก็คือ ประการแรก ต้องเข้าใจถึงลักษณะของสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นไปลงทุน ประการที่สอง ต้องเข้าใจการจัดโครงสร้างของกองทุนแต่ละประเภท รวมทั้งลักษณะผลตอบแทนที่จะแบ่งปันให้ผู้ถือหน่วย เช่น จ่ายเงินปันผลเป็นงวด ๆ หรือไม่จ่ายเงินปันผล แต่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้นักลงทุนได้รับส่วนต่างเป็นกำไรจากการซื้อขายหน่วยลงทุน
เมื่อเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแล้ว นักลงทุนก็คงจะเห็นว่า การลงทุนในกองทุนรวม ให้ผลดีอย่างที่กล่าวข้างต้น คือ ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีมืออาชีพดูแลให้ ระดับความเสี่ยงไม่สูงมาก เพราะมีผลจากการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงลง นักลงทุนก็จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหน่วยลงทุนได้ไม่ยากครับ

อ่านหรือยัง
ถ้าอ่านแล้วสรุปให้ฟังหน่อย พี่ AT4.gif AT4.gif AT4.gif AT4.gif AT4.gif
บันทึกการเข้า

ออฟไลน์ narjant

  • ปู่ของบอร์ด
  • *****
  • กระทู้: 7962
  • LIKE: 237
  • จินตนาการสำคัญกว่า ความรู้
    • ดูรายละเอียด
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 09:01:45 AM »
หาย ป่วย แล้ว จะ มา สรุปให้ ฟัง  นะ ท่าน  wee 
บันทึกการเข้า
พอร์ต เขียว หมื่นปี หมื่น หมื่น ปี

ออฟไลน์ dakillerz

  • Silver
  • ****
  • กระทู้: 2380
  • LIKE: 52
  • เจ็บแล้วจำคือคน(ทั่วไป) เจ็บแล้วทนคือ "เทรดเดอร์ "
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 09:23:23 AM »
สรุปย่อๆ

ฝากตังค์ บริษัทเอาเงินไปลงทุน ได้ปันผล จบข่าว m:4
บันทึกการเข้า
สู้ต่อไป!! ตราบใดที่ยังมี "ไฟ" อยู่

ออฟไลน์ wee

  • Gold
  • *****
  • กระทู้: 3183
  • LIKE: 83
  • WebTrader
    • ดูรายละเอียด
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 10:00:00 AM »
อ้างจาก: dakillerz ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 09:23:23 AM
สรุปย่อๆ

ฝากตังค์ บริษัทเอาเงินไปลงทุน ได้ปันผล จบข่าว m:4

แล้ว บริษัท อยู่ใหน เชื่อถือได้หรือเปล่า ใครค้ำประกัน ดูผลการกาลงทุนจากที่ใด การผูกมัดการลงทุนเป็นเช่นไร   m:44 m:44 m:44 m:44
บันทึกการเข้า

ออฟไลน์ narjant

  • ปู่ของบอร์ด
  • *****
  • กระทู้: 7962
  • LIKE: 237
  • จินตนาการสำคัญกว่า ความรู้
    • ดูรายละเอียด
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 10:03:56 AM »
ดูเอา ละ กัน ท่าน  wee

http://www.wealthmagik.com/
บันทึกการเข้า
พอร์ต เขียว หมื่นปี หมื่น หมื่น ปี

ออฟไลน์ dakillerz

  • Silver
  • ****
  • กระทู้: 2380
  • LIKE: 52
  • เจ็บแล้วจำคือคน(ทั่วไป) เจ็บแล้วทนคือ "เทรดเดอร์ "
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 10:07:19 AM »
อ้างจาก: wee ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 10:00:00 AM
อ้างจาก: dakillerz ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 09:23:23 AM
สรุปย่อๆ

ฝากตังค์ บริษัทเอาเงินไปลงทุน ได้ปันผล จบข่าว m:4

แล้ว บริษัท อยู่ใหน เชื่อถือได้หรือเปล่า ใครค้ำประกัน ดูผลการกาลงทุนจากที่ใด การผูกมัดการลงทุนเป็นเช่นไร   m:44 m:44 m:44 m:44

บริษัทนี้เยอะมากครับ search google ก็ได้
เป็นสถาบันที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนแล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน โดยผู้บริหารกองทุนมืออาชีพ
การที่ขายหน่วยลงทุนเล็กๆ แล้วรวบรวมเงินที่ได้ไปลงทุนทำให้สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่หลากหลายได้
ข้อดีคือ
1. นักลงทุนลงทุนด้วยเงินจำนวนต่อหน่อยน้อย แต่สามารถไปร่วมลงทุนในทุกสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน โดยถ้านักลงทุนไปลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันเองจะไม่สามารถกระจายการลงทุนไปเท่ากับที่กองทุนไปได้ และเมื่อมีรายได้คืนมากองทุนก็จะคืนกลับมาให้ตามสัดส่วนเงินที่ลงทุนในกองทุน
2. บางกองทุนสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น RMF, LMF
3. ผู้บริหารกองทุนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นนักลงทุนที่ไม่มีเวลาดูแล ติดตามการลงทุน ก็จะไม่ต้องเสียเวลามาคอยปรับ port การลงทุนของตน

อย่างผมนี้ก็มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ของกรุงไทย
และกองทุน RMF ของกสิกรไทย เอาไว้ลดหย่อนภาษี  AT4.gif 
บันทึกการเข้า
สู้ต่อไป!! ตราบใดที่ยังมี "ไฟ" อยู่

ออฟไลน์ Teerapong

  • ปู่ของบอร์ด
  • *****
  • กระทู้: 9020
  • LIKE: 146
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 10:40:57 AM »
ต้องไปศึกษาดู ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
ผู้ชนะ...ไม่พูดคำท้อ

ออฟไลน์ wee

  • Gold
  • *****
  • กระทู้: 3183
  • LIKE: 83
  • WebTrader
    • ดูรายละเอียด
Re: กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 10:58:26 AM »
อ้างจาก: dakillerz ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 10:07:19 AM
อ้างจาก: wee ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 10:00:00 AM
อ้างจาก: dakillerz ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 09:23:23 AM
สรุปย่อๆ

ฝากตังค์ บริษัทเอาเงินไปลงทุน ได้ปันผล จบข่าว m:4

แล้ว บริษัท อยู่ใหน เชื่อถือได้หรือเปล่า ใครค้ำประกัน ดูผลการกาลงทุนจากที่ใด การผูกมัดการลงทุนเป็นเช่นไร   m:44 m:44 m:44 m:44

บริษัทนี้เยอะมากครับ search google ก็ได้
เป็นสถาบันที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนแล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน โดยผู้บริหารกองทุนมืออาชีพ
การที่ขายหน่วยลงทุนเล็กๆ แล้วรวบรวมเงินที่ได้ไปลงทุนทำให้สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ที่หลากหลายได้
ข้อดีคือ
1. นักลงทุนลงทุนด้วยเงินจำนวนต่อหน่อยน้อย แต่สามารถไปร่วมลงทุนในทุกสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน โดยถ้านักลงทุนไปลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันเองจะไม่สามารถกระจายการลงทุนไปเท่ากับที่กองทุนไปได้ และเมื่อมีรายได้คืนมากองทุนก็จะคืนกลับมาให้ตามสัดส่วนเงินที่ลงทุนในกองทุน
2. บางกองทุนสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น RMF, LMF
3. ผู้บริหารกองทุนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นนักลงทุนที่ไม่มีเวลาดูแล ติดตามการลงทุน ก็จะไม่ต้องเสียเวลามาคอยปรับ port การลงทุนของตน

อย่างผมนี้ก็มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ของกรุงไทย
และกองทุน RMF ของกสิกรไทย เอาไว้ลดหย่อนภาษี  AT4.gif

ขอบคุณ ได้ ความคิดบ้าง   Cat1.gif Cat1.gif Cat1.gif Cat1.gif Cat1.gif
บันทึกการเข้า

  • พิมพ์
หน้า: [1]   ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
  • Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์ »
  • สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ »
  • บทความที่น่าสนใจ »
  • กองทุนรวม (มีคนส่งเมล์มาให้ )
 

Risk Warning : ข้อมูลในเว็บไซค์นี้อาจถูกก๊อบปี้ข้อมูลบางส่วนจากสมาชิกบางท่าน แล้วนำไปดัดแปลงแก้ไขใหม่

คำเตือนการลงทุนมีความเสี่ยง : การซื้อขายในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (forex) หรือผลิตภัณฑ์ CFD โดยเฉพาะการเทรดที่ใช้ Leverage สูง มีความเสี่ยงสูงโปรดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน มูลค่าการลงทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ และนักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ เป็นความรับผิดชอบของตัวนักลงทุนเอง สำหรับการขาดทุนหรือสูญเสียทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเป็นผลเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมใด ๆ ก็ตาม ทั้งนี้ทางบอร์ดเป็นเพียงสื่อกลางในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถรับผิดชอบต่อผล กำไร/ขาดทุน จากการเทรดของสมาชิกเว็บบอร์ดได้นักลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

Powered by SMF 2.0 RC5 | SMF © 2006–2011, Simple Machines LLC | SMF Thailand