• กิจกรรมทายผล
  • การแข่งขัน
  • ติดต่อสอบถาม
  • สนับสนุนเว็บบอร์ด


  • หน้าแรก
  • โบรคเกอร์
    • เปรียบเทียบบัญชีโบรคเกอร์
    • ตราวจสอบ Reabate Exness ประจำวัน
    • การแข่งขัน webTrader Contest
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • blogger
 

  • ข้อมูลส่วนตัว
    • Summary
    • แสดงสถิติ
    • แสดงกระทู้...
      • Messages
      • Topics
      • Attachments

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

  • Messages
  • Topics
  • Attachments

Messages - 2technical

หน้า: [1]
1
บทความที่น่าสนใจ / Autotrade ตัวอย่างขั้นตอนของการเลือก provider ด้วยวิธีมองจากสถิติ
« เมื่อ: มีนาคม 28, 2017, 11:46:34 PM »
ในบทความนี้จะอธิบายถึงวิธีตัวอย่างที่สามารถนำค่าตัวแปรทางสถิติต่างๆจาก myfxbook report มาตีความ แล้วก็ใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกติดตาม AutoTrade provider ครับ

เราใช้สถิติกับ Myfxbook report ในการเลือกคนที่เราจะติดตาม


ในการประเมินความสามารถของนักกีฬา การประเมินระบบเทรด การประเมินความเก่งของนักพนันต่อเกม ทั้งหมดสามารถเก็บสถิติเพื่อเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนได้ ยิ่งเป็นเกมที่มีปัจจัยที่่สามารถทำเป็นตัวเลขได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี (เช่นเกมโยนหัวก้อย เกมไพ่ เกมรูเลตต์ )  หรือระบบเทรดที่มีรูปแบบค่อนข้างตายตัว (ใช้อารมณ์ในการเทรดน้อย) ในการ Copy trade ก็เช่นกัน เราสามารถประเมิน AutoTrade Provider แต่ละรายได้จากระบบสถิติ ของ Myfxbook report ของเขา



เมื่อเรามองผู้ให้สัญญาณแต่ละรายเป็นเสมือนระบบเทรดระบบหนึ่ง (ซึ่งส่วนมากคนที่เทรดดีมักจะเทรดในรูปแบบของ rule base ที่มีเงื่อนไขของแต่ละคนอยู่แล้ว) เราก็พิจารณาการลงทุนของเราว่าเป็นรูปแบบของการเลือกกลยุทธที่ต่างกันไปมาลงทุน โดยเลือกกลยุทธที่เหมาะสมกับเรา ตั้งแต่ความเสี่ยงที่รับไหว เทรดสไตล์( Trend following / Mean reversion / Break out / Swing / Scalp / Low volatile ) หรือจะผสมกลยุทธในพอร์ตเดียวเพื่อกระจายความเสี่ยงก็ย่อมได้เช่นกัน



เราอาจนำสถิติของคนที่เราสนใจมาทำเป็นตารางเปรียบเทียบ แล้วก็ลองประเมินดูทีละตัวแปร เพื่อเปรียบเทียบกันดังรูป โดยผมกรองขั้นแรกง่ายๆด้วยการเลือกคนที่ติดอันดับต้นๆจากหน้า https://www.myfxbook.com/autotrade แล้วกราฟผลตอบแทนมีลักษณะขึ้นแบบสม่ำเสมอ ขณะที่ DD ก็ไม่สูงเกินไป มาแอดใส่บัญชีเดโม1-3 เดือน แล้วพยายามเข้าใจวิธีเทรดแต่ละคน ดูว่าแต่ละวันเปิดบ่อยไหม เปิดผิดแล้วอม loss นานไหม ผิดแล้วเบิลล๊อตแก้หรือเปล่า จนพอจะเข้าใจวิธีเทรดแต่ละคน แล้วค่อยคัดอีกทีมาทำตารางเปรียบเทียบ โดยคัดคนที่ตัวเองชอบสไตล์มาลงเทียบดู




ตัวแปรเบื้องต้นที่เป็นลักษณะเชิงสรุปของ Signal provider แต่ละราย สามารถดูได้จาก Myfxbook report ของคนๆนั้น
ตัวแปรที่สำคัญที่น่าจะดูจะมีตั้งแต่



- จำนวนครั้งของการเทรด ยิ่งเยอะยิ่งมั่นใจได้ว่าสถิติ “น่าจะ” มีนัยยะสำคัญดีกว่าสถิติที่มีการเทรดน้อย ระบบที่มีสถิติเป็นพันๆครั้งย่อมมีนัยยะทางค่าสถิติต่างๆมั่นใจได้มากกว่าระบบที่เพิ่งเทรดมาไม่กี่ครั้ง แต่ในบางระบบ ผู้ให้สัญญาณจะใช้วิธียิง order ที่จุดเดียวกันแบบหลาย order แบบนี้จริงๆก็นับเป็นจุดเข้าจุดเดียวกันอยู่ดี โดยอาจทำเพื่อสร้างภาพให้ดูว่ามีสถิติยิงเยอะ หรืออาจทำเพื่อได้รับ commission autotrade เยอะขึ้นก็ได้

- อายุของพอร์ต พอร์ตที่เทรดมานานๆโดยอยู่รอดได้คือพอร์ตที่น่าสนใจ โดยส่วนตัวชอบดูเกิน 1 ปีขึ้นไป ยิ่งหลายปียิ่งดี
ผลตอบแทนรายเดือน สิ่งที่จะดูคือความสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดือนนี้พุ่งขึ้นแรง เดือนต่อมาตกแรงๆ แบบนี้คือมีความเสี่ยงในแง่ของความผันผวนสูง (และมักเป็นรูปแบบที่อาจเกิดการล้างพอร์ตได้ง่ายๆ)

- กราฟ Balance ควรขึ้นแบบสม่ำเสมอ มีลงบ้างไม่แปลก ส่วนกราฟที่ดูดีเกินไปควรระวัง ต้องไปเข้าใจในวิธีการเทรดอีกทีว่าที่ดีนั่นเพราะอม loss เพราะเร่ง Risk แบบไม่จำเป็นหรือไม่อีกที

- Duration ในการถือ ขึ้นกับสไตล์และกลยุทธเทรด แต่หากเป็นระบบแบบมี SL และถือเล่นสั้น ระบบแบบมี SL เล่นจบในวันเดียวไม่ควรจะมี Duration นานเกินไป (ปกติ orderที่ถูกจะปิดภายในไม่กี่ชั่วโมง แล้ว order ที่ผิดกลับถือไว้ยาวๆรอกลับมาถูก แบบนี้คือ อม loss และจะทำให้เวลาในการถือนั้นยาว )

- Expectancy ตัวแปรนี้สำคัญอันดับต้นๆในการประเมินระบบ กลยุทธ เลือกกลยุทธที่มีค่านี้เป็น + เสมอ

- Zscore เพื่อยืนยันความน่าจะเป็นไปตามโอกาสของระบบสถิติเฉยๆ ค่าติดลบถือว่ายืนยันได้ดี

- Sharpe ratio เป็นตัวแปรที่นิยมเทียบในภาพรวม โดยนำเรื่องของความเสี่ยงในแง่ของความผันผวนมาคิดประกอบในฐานะปัจจัยลบ การคำนวณจะคิดโดยหาก ผลตอบแทนสูง ความผันผวนต่ำ จะให้ค่า sharpe ratio สูง ถ้าอธิบายเป็นตัวอย่างคำพูดก็คือ หากเทียบคนสองคนที่เทรดสินค้าต่างกัน
A เทรดหุ้นที่มีความผันผวนสูง
B เทรดหุ้นมีความผันผวนต่ำ
ทั้งคู่ทำผลตอบแทนได้เท่ากัน A จะมีค่า Sharpe ratio ต่ำกว่า B (เพราะ A เทรดหุ้นที่ผันผวนสูง)
เพราะสมการนี้จะตีความว่า คน – ระบบเทรดที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากสิ่งที่มีความผันผวนต่ำกว่า ย่อมดีกว่า (ลองนึกภาพคนเทรดหุ้น VI กับหุ้นปั่น แล้วคนเทรด VI ทำกำไรได้เท่ากับคนเทรดหุ้นปั่น แต่ขณะที่หุ้นที่ VI ถือนั้นก็ไม่เสี่ยงในแง่ของการกระชากตัวลงแรงๆแบบหุ้นปั่น) ตัวแปรนี้อาจใช้วัดผลไม่ได้กับระบบบางประเภท แต่โดยทั่วไปก็นิยมใช้เทียบในระบบแบบปกติ

- DD (Draw Down Max / Drawdown graph) ใช้ดูความเสี่ยงต่อการขาดทุนว่าทุนลดลงแค่ไหนในอดีต

- MAE ความแม่นยำของการเข้าในแต่ละ order เข้าแล้วถูกลากผิดทางไปไกลแค่ไหน นานแค่ไหน

- MFE ความแม่นยำในแง่ของการปิดสถานะ ถ้าถือไว้จากกำไรจนกลายเป็นขาดทุน ค่านี้ก็จะแสดงออกมาให้เราเห็น

- % gain ในช่อง history ค่านี้ทำให้เราเห็นวินัย – ระบบเทรดของคนๆนั้น หากคนรักษาวินัยเทรดตามระบบ เวลาติดลบ จะเห็นการคุม -gain% ไม่เกินค่าตายตัวค่าหนึ่ง เช่น – ไม่เกิน 1-2% ขณะที่พอร์ตซึ่งไม่มีวินัย เทรดไม่เป็นระบบ จะปิดลบแบบ 1% 5% 10% 20 % เลขตัวลบนี้จะไม่เกาะกลุ่มกัน

- % win % loss ของระบบนั้นๆ ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อถัดไป

เมื่อเราลองนำข้อมูลมาทำเป็นตารางเปรียบเทียบไว้ เราจะมีข้อมูลเชิงอ้างอิง (เพราะตอนนี้เราเห็นข้อมูลสถิติจากหลายคนพร้อมๆกัน) ทำให้เราเทียบได้ง่ายขึ้น จากที่เราเคยดูข้อมูลทีละคน เห็นแค่ % win คนนี้ 55 % มันดีหรือไม่ดีนะ เราอาจไม่แน่ใจ แต่ถ้าเรานำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ (ระหว่างคนที่เทรดเก่งๆจนติดท็อปลิสต์มาลง) เราจะมองเห็นค่าเฉลี่ยของกลุ่มในแต่ละตัวแปร และนั่นทำให้เราประเมินตัวเลขได้ว่า เราจะตั้ง base line ของตัวแปรนั้นที่ค่าประมาณไหน

ข้อควรระวัง

- พึงระลึกเสมอว่า นี่คือมนุษย์ หากเขาเทรดเอง แม้จะใช้ระบบตายตัวมาตลอด แต่อาจมีหลุดจากวินัยก็เป็นได้เช่นกัน
- การเปรียบเทียบด้วยตัวเลขให้ดียิ่งขึ้น ควรทำความเข้าใจวิธีเทรด หรือกลยุทธเทรดของแต่ละรายประกอบด้วย เพราะตัวเลขบางตัวที่มีค่าน้อย แต่มันขึ้นกับระบบเทรดก็สามารถยอมรับการน้อยของมันได้เช่นกัน เช่น เราพบว่านาย A เทรดแบบ Trend follow break out ซึ่งปกติ % win ต่ำ การที่สถิติของ A % win ต่ำจึงเป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ หรือ B เทรดแบบสวิงกินสั้น % win จะสูง ถ้าเราเข้าใจวิธีของแต่ละคน เราจะไม่บอกว่า B เก่งกว่า A เพราะ % win สูงกว่า เพราะจริงๆทั้งคู่เทรดกันคนละระบบ

2
บทความที่น่าสนใจ / Myfxbook AutoTrade ความเสี่ยงที่ต้องคำนึง
« เมื่อ: มีนาคม 27, 2017, 10:31:36 PM »



บทความนี้จะเกี่ยวกับระบบ Myfxbook AutoTrade นะครับ โดยคือส่วนของความเสี่ยงที่เราจะต้องเจอ เมื่อเลือกใช้ระบบนี้เทรดตาม Signal provider ครับ
ความเสี่ยง(ที่พอจะ)ควบคุมได้

  • ความเสี่ยงจากระบบเทรดที่เลือกใช้ (ในที่นี้คือระบบ Copy trade – AutoTrade signal provider)
  • ความเสี่ยงจากโบรคเกอร์ ความน่าเชื่อถือ เกิดโบรคเกอร์ปิดไปเราจะทำยังไง
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าธรรมเนียมการฝาก ถอนของโบรค ค่าเสปรด – Commission ค่าธรรมเนียมการใช้ระบบ
  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลที่ใช้เป็น Base currency

ในส่วนนี้หากเราพอจะบริหารวิธีการลงทุนของเราให้ลดความเสี่ยงบางข้อลงได้ก็ลองหาวิธีการดู เช่น หากเรากลัวอัตราแลกเปลี่ยนสกุล USD ที่เป็น Base currency ในบัญชีลงทุนของเรามันเกิดด้อยค่าลงไป เราจะรับมือไงได้บ้าง
เช่น แยกบัญชีให้ Base currency เป็นหลายสกุลเงิน แล้วทำ Re balance เป็นระยะ หรือถ้าโบรคที่ใช้เกิดปิดล้มละลายกระทันหัน เราก็กระจายความเสี่ยงโดยไม่วางเงินไว้ที่เดียว แต่กระจายไปยังโบรคเกอร์เจ้าที่เรามั่นใจได้มากพอ (ความมั่นใจอาจดูที่ Regulator / จำนวนฐานลูกค้า / ประวัติ รวมไปถึงข่าวต่างๆล่าสุด – เว็บบางเวบจะมีส่วนของการพูดคุยถึงด้านลบของโบรค เช่น http://www.forexpeacearmy.com/ ก็คอยอัพเดตข่าวไว้เรื่อยๆ หรือดูรีวิวจากพวก http://www.myfxbook.com/reviews/brokers/9,1 ว่าโบรคไหนมีคนมาออกความเห็นด้านดี ด้านร้าย คะแนนดี ไม่ดียังไง น่าเชื่อถือหรือไม่


 


เท่าที่ดูจากรีวิวนี้ก็จะคุ้นๆอยู่หลายโบรค ซึ่งเราก็เลือกกระจายการลงทุนของเราไปตามการศึกษาของเรา
ของผมที่เคยทดสอบมาก็จะลองทั้ง Tickmill Pepperstone XM ICmarkets Fxchoice Axitrader ขึ้นอยู่กับว่าระบบของโบรคนั้นทำอะไรได้ แต่ละโบรคก็จะมีจุดดีจุดเสียต่างกันไป

ซึ่งเท่าที่ทดสอบมาก็ค่อนข้างพอใจกับหลายเจ้า – โดยผมจะเน้นเรื่องค่าธรรมเนียมฝากถอน – เสปรดเป็นหลัก (เพราะเป็นสายอนุรักษ์นิยม ผลตอบแทนไม่หวือหวา เลยต้องลด cost ต่างๆให้มากที่สุด) / ความเร็วของระบบ – ถ้าเป็นไปได้คิดว่าใช้โบรคเดียวกับคนที่เราติดตามน่าจะทำให้ลดสัญญาณ Lagging หรือค่าเสปรด – commission ต่างๆที่ต่างกันระหว่างความแตกต่างด้านโบรคเกอร์ได้ก็ยิ่งดี (แต่ข้อนี้ไม่น่าจะมีผลมากนัก เพราะระบบรับสมัครของ Myfxbook น่าจะมีเงื่อนไขทำให้ระบบต่างๆใกล้เคียงกันในระดับหนึ่ง)

*ในรูปนี้ไม่ใช่ทุกโบรคที่จะใช้ AutoTrade ได้นะครับ แต่เป็นการยกตัวอย่างเวบรีวิวโบรคเท่านั้น ส่วนลิสต์ของโบรคที่ใช้ AutoTrade ได้จะตามนี้ครับ http://www.myfxbook.com/autotrade/open-live-account
หรือถ้าเทียบง่ายๆกับลิสต์แรก ก็จะมี Tickmill Pepperstone ICmarkets Fxchoice Axitrader

ความเสี่ยงที่่ควบคุมได้ยาก

เหตุการณ์อนาคตที่มีผลต่อตลาดโดยตรง สงคราม นโยบายการเงินระหว่างประเทศ อันนี้เราทำได้เพียงใช้ระบบ Money Management หรือวิธีการวางกลยุทธระยะยาวที่เหมาะสมกับวิธีการลงทุนของเราเท่านั้น
เช่น การบริหารขนาดการลงทุนให้เล็กพอที่จะไม่ทำร้ายพอร์ตอย่างใช้ระบบคุม Money Management แบบ  1-2 % rule โดยวิธีนี้อธิบายแบบง่ายๆคือ หากผิดก็จะเสียมากสุดไม่เกิน 2 % (ใช้การคำนวณเมื่อ SL แล้วเราจะลบแค่ 2 % ของพอร์ต)

การใช้วิธีนี้บริหารการเทรดในเวลาปกติ ก็เพราะเราเชื่อว่าอนาคตทำนายได้ยาก เช่น หากทรัมพ์เกิดนึกนโยบายพิลึกๆออกมาในวินาทีหลังเราเทรด แล้วมันทำให้เราผิดทาง เราก็เสียแค่ 2 % อินดิเคเตอร์เทพแค่ไหนก็ช่วยเราไม่ได้ถ้าเราดันไปเปิดขนาดความเสี่ยงสูง(ที่จะทำให้พอร์ตเราถึงขั้นล้างได้เมื่อชน SL)

การคุมให้เสียทีละน้อย แล้วค่อยไปเอาคืน หรือไปชนะในตาอื่น ก็คือแนวคิดเรื่องของการใช้สถิติในอีกแบบ เพราะถ้าระบบเทรดที่เราใช้ – AutoTrade Signal ที่เราเลือกนั้นมีสถิติดี มันก็น่าจะมีโอกาสที่จะกลับมาทำกำไรให้เราได้ในโอกาสอื่น และน่าจะสามารถทำให้กำไรมากกว่าขาดทุนในระยะยาว นี่คือการจำกัด Risk ในด้านของตัวระบบเทรดนั่นเองครับ

ขนาดของการลงทุนต่อครั้งกับความเสี่ยงของพอร์ต

ในเกมใดๆก็ตาม จะมีสิ่งที่เรียกว่า % win – % loss ซึ่งได้จากการคำนวณด้วยความน่าจะเป็น หรือเก็บข้อมูลจากระบบสถิติ ซึ่งสำหรับนักลงทุนมือใหม่นั้นมักจะมุ่งเน้นแต่พัฒนา % win เป็นหลัก แล้วก็เชื่อว่า ยังไงถ้า % win สูงๆไว้ ก็ไม่ต้องสนใจขนาดของการเทรดต่อครั้งหรอก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ควรระวังและพิจารณาดีๆครับ

จากตัวอย่างด้านบนที่อธิบายกรณี วันดีคืนดีทรัมพ์เกิดออกนโยบายที่กระทบค่าเงินแปลกๆออกมา แล้วทำให้เราผิดทาง กรณีแบบนี้ยังไงก็ไม่มีทางทำนายได้ การไปเทรดในขนาดสูงๆแล้วเจอเหตุการณ์นี้จะทำให้มีโอกาสล้างพอร์ตได้สูง แล้วขนาดการลงทุนควรเป็นเท่าไหร่ดี ทำไมหลายๆท่านถึงแนะนำพวกเรื่มด้วย 1-2 % Rule

ในรูปนี้ผมทำการทดลองแบบง่ายๆมาให้ตีความกันดูครับ โดยสมมุติว่าเราจะเล่นเกมโยนหัวก้อย ทั้งหมด 20 เกม โดยมีกลยุทธเราคือเราจะเลือกเล่นทายด้านหัวอย่างเดียวทุกตา เกมนี้โดยทั่วๆไป การคิดจากวิธีคิดแบบความน่าจะเป็นเราจะมีโอกาสชนะ 50 %

ในการทดลองนี้เราจะใช้โอกาสชนะ 50 % มาออกแบบวิธีวางเงินเทรดของเรากันว่าการวางเงินแบบต่างๆนั้นจะให้ผลเป็นยังไงเมื่อผ่านไปแล้ว 20 ตา โดยให้ทุนเริ่มต้น 100 USD

พอออกแบบการทดลองดังนี้ เราก็จะทำการรันโปรแกรมให้มัน Simulation ใน excel ว่าหากมีการเล่นแบบนี้ไป 10000 รอบ จะมีความน่าจะเป็นของการล้างพอร์ตประมาณไหน

โดยในแต่ละรอบนั้นจะแรนด้อมผลด้วยฟังก์ชั่น Rand ของ excel บนความน่าจะเป็น 50 / 50 ดังนั้นในแต่ละตาผลจะเป็นไปได้ตามวงเงินเดิมพัน คือหากเดิมพัน 100 แล้วแรนด้อมว่าแพ้ ก็จะ -100 ในตานั้น แล้วก็ทำไป 20 รอบในเกมนั้น จากนั้น Simulation การเล่นไป 10000 เกม



*หมายเหตุ ในรูปที่เขียนว่า Bet 100 % นั้นเขียนผิดความหมายนะครับ โดยเป็นการเสี่ยงขนาด 100 % ในตาแรก และคงที่ไปตลอด (จริงๆควรเขียนว่า Bet ทีละ 100 / 50 / 10 / 1)

รูปแรก Bet ขนาด 100 ผลตอบแทนที่เป็นไปได้ของการเดิมพันแบบนี้จะสูงที่สุด คือจะเป็นไปได้ถึง +1600  (ถูก 18 ตาผิด 2 ) มาจาก 18*100 – 2*100 = 1800-200 = 1600
แต่หากดูที่กรอบสี่เหลี่ยมสีแดง (ซึ่งตีกรอบโอกาสของทุนที่จะเหลือ 0) จะเห็นว่าโอกาสล้างพอร์ตมีประมาณ 50 % ถ้าเราใช้ขนาดความเสี่ยง 100 โดยดูจากรูปครึ่งนึงของระฆังจะอยู๋ในแดนต่ำกว่า 0



แล้วถ้าลดขนาดการเปิดลงครึ่งหนึ่งหล่ะ จะเห็นว่า ตัวระฆังเริ่มหนีไปทางด้านบวกมากขึ้น (ขวา) ก็คือมีโอกาสมากขึ้นที่จะไม่ล้างพอร์ต แต่ก็ยังถือว่าเยอะอยู่ดี

ผลตอบแทนที่เป็นไปได้จากการเล่นหมื่นรอบของระบบ MM นี้คือ มีโอกาสไปได้ ที่ +-800 usd



 

รูปถัดมา Bet ขนาด 10 ความเสี่ยงลดลงอย่างชัดเจน คือโอกาสที่พอร์ตจะล้างจะเหลือแค่กรอบสี่เหลี่ยมที่เล็กลงมาก (แต่โอกาสที่ทุนจะต่ำกว่าทุนตั้งต้นก็ยังคงเป็นประมาณ 50-50 เหมือนเดิม ) เพราะระบบนี้ % win 50 % และผลตอบแทนเวลาถูกและผิดนั้นเท่ากัน



รูปสุดท้ายนี้ ลดความเสี่ยงให้เหลือเล่นแค่ตาละ 1 USD จะเห็นว่ายังไงก็ไม่ล้างพอร์ต คือไม่มีส่วนของกราฟเส้นสีฟ้าไปตกในแดนต่ำกว่า 0 เลย
(แหงหล่ะ เพราะว่าเล่นแค่ 20 ตา มีทุน 100 ถ้าผิดทุกตายังไงก็ = -20 ยังคงเหลือทุนอีก 80)

ผลการทดสอบ

  • การกระจายตัวแบบ Normal distribution ของการจำลองการเทรด 10000 ครั้ง โดยหากเราลดขนาดของการลงทุนให้เล็กลงเมื่อเทียบกับทุนทั้งหมด การกระจายตัวจะลดลงเกาะกลุ่มกันมากขึ้น (รูปสุดท้าย) เป็นระฆังทรงแหลม ขณะที่การลงทุนขนาดเสี่ยงสูงจะทำให้การกระจายตัวออกในทางกว้างขึ้น ซึ่งหากพิจารณาในแง่ความเสี่ยง ก็คือมีโอกาสจะติดลบด้วยวงเงินสูงมากขึ้น
  • เมื่อเราทดลองเปลี่ยนแฟคเตอร์ในระบบอย่าง % win ขนาด bet size รูปทรงของการกระจายตัวก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยที่ทดลองแบบนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจแฟคเตอร์ที่มีผลกับระบบ เราจะสามารถทดลอง Simulation เหตุการณ์บนแฟคเตอร์เหล่านั้น เพื่อเข้าใจว่า ความน่าจะเป็นของการล้างพอร์ตของเราเมื่อใช้การวางเงิน (MM) แบบต่างๆนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหน
  • ในการดูผลนั้น เราจะดูปริมาณของพื้นที่กราฟสีฟ้า ว่าตกในโซนไหนเยอะ ไม่ได้ดูแค่โอกาสที่จะไปถึงค่าสูงสุด ต่ำสุด ซึ่งนั่นคือรูปทรงของกราฟที่จะเกิด เช่น หากกราฟมีโอกาส + 1600 แต่โอการนั้นมีแค่ 1 % ขณะที่โอกาสล้างพอร์ต 50 % เราจะสนใจที่ 50 % นั้นมันเสี่ยงเกินไป และไม่คุ้มค่าที่จะไปเสี่ยงโดยมีโอกาสแค่ 1 % ที่จะได้รับผลตอบแทน 16 เท่าจากเงินลงทุน
  • สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในชีวิตจริงของการเทรด – ในการเทรดนั้น หากเราไม่สนใจว่า ผิดแล้วเราจะลบไปเท่าไหร่ของพอร์ต เราก็มีโอกาสสูงที่จะล้างพอร์ตได้บ่อยๆ โดยที่ไม่ตระหนักว่าที่ล้างพอร์ตนั้นเกิดจากการใช้ระดับความเสี่ยงของ Bet size ที่สูงเกินไป แต่ไปมุ่งหาระบบที่จะพัฒนา % win ให้ถูกต้องมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ยังไม่ตรงจุดของปัญหา

ดังนั้นพัฒนา % win เพื่อความแม่นยำ หรือการเลือกคนที่เราจะตาม Copy trade โดยดูจาก % win คือเงื่อนไขหนึ่งที่เราต้องพัฒนา – หากันไป แต่อย่าลืมอีกเงื่อนไขคือการควบคุมความเสี่ยงในแง่ของขนาดการเทรดด้วยครับ


แนวคิดการบริหารขนาดเปิด หรือกลยุทธ MM แบบอื่นๆ

การบริหารความเสี่ยงจากสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้ ไม่ได้จำกัดแค่วิธี 1-2 % Rule อย่างเดียวนะครับ หากท่านมีระบบที่มีโอกาสชนะสูง แล้วใช้ในระบบแบบที่ใช้การ Bet สูงกว่า 1-2 % Rule โดยกำหนดเงื่อนไขบางอย่างเพิ่มเติม เช่น เอาเงินที่ปกติไปซื้อดีมาเทรดแทน (ซึ่งปกติถือเป็นเงินที่ทำบุญให้ประเทศผ่านทางการให้บริการของกองสลากแห่งประเทศไทย) โดยพอชนะเกมชุดนั้นแล้วถอนเงินออกมาเลย เอากำไรมาเก็บไว้ หรือลงในระบบอื่นมันก็เป็นแนวทางที่จะพัฒนากันไปได้ตามแต่จะออกแบบ หรือจะเริ่มจากระบบความเสี่ยงต่ำมากๆ เพราะท่านสามารถรอได้นาน จากนั้นค่อยเอาผลกำไรไปเร่งในระบบที่เสี่ยงสูงกว่า โดยขาดทุนก็แค่ขาดทุนกำไร อันนี้แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์กับออกแบบกันไป

เพียงแต่ถ้ามีเวลา ลองค่อยๆมองระบบเทรด – ระบบบริหารทุนของเรา ให้เป็นแฟคเตอร์ แล้วลองหาทางเข้าใจความเสี่ยง เช่น โอกาสที่จะล้างพอร์ต ว่าใช้วิธี MACD + MM แบบนี้ มันมีโอกาสล้างพอร์ต 20 % มันสูงไป ก็ไปออกแบบใหม่ หรือเราอยากใช้มาทิงเกลในการเทรด ก็ต้องรู้จักแฟคเตอร์ของระบบมาทิงเกล เช่น การปรับระยะ Trade step ทำให้ผลเปลี่ยนไปแบบไหน การใช้ตัวคูณจะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มระดับใด ไปจนถึงตัวแปรของรายงานสรุปผลการเทรดอย่าง Consecutive loss, % win ว่าระบบที่เราจะนำมาประกอบกับมาทิงเกลนั้น ถ้ามี % win เยอะก็ย่อมปลอดภัยขึ้น มี Consecutive loss น้อย (อัตราผิดติดกัน) น้อย เราก็นำระบบนั้นมาประกอบเป็นเงื่อนไขการเข้าแทนที่จะใช้ Trade step อย่างเดียว จากนั้นก็แบคเทสทดสอบผลดู นี่คือการพยายามพัฒนาระบบเทรดด้วยความสนใจด้านแฟคเตอร์ต่างๆ ทั้งแฟคเตอร์ตั้งต้นของระบบ ไปจนถึงแฟคเตอร์เมื่อผ่านการแบคเทส อันจะทำให้เราพัฒนาระบบที่เราใช้ไปได้เรื่อยๆครับ

3
บทความที่น่าสนใจ / (copytrade) เทรดตามคนเทรดดี ด้วย Myfxbook AutoTrade รีวิว
« เมื่อ: มีนาคม 09, 2017, 09:29:50 AM »
สวัสดีครับท่านผู้ดูแลบอร์ดและสมาชิก Webtraderth   m:17
วันนี้ผมจะมารีวิว - แชร์ประสพการณ์เกี่ยวกับระบบ Copy trade ระบบหนึ่งชื่อว่า Myfxbook AutoTrade ที่ได้ทดสอบมาเป็นเวลา 6 เดือน ให้กับผู้สนใจได้มาลองเข้าใจระบบนี้ฟังกันครับ เผื่อท่านใดไปทดลองแล้วเจอคนให้สัญญาณที่ดี หรือสามารถสร้างกลยุทธลงทุนที่ทำให้สร้างผลตอบแทนได้ดี จะได้มาช่วยกันแชร์ความรู้เพื่อพัฒนาวิธีลงทุนแบบนี้กันต่อไปครับ


บทความแรกขอเริ่มด้วยนิยาม และภาพกว้างๆก่อนนะครับ

Copy trade / PAMM คืออะไร

อธิบายเปรียบเทียบง่ายๆ การลงทุนรูปแบบนี้ เสมือนกองทุนรวมขนาดเล็ก มีผู้จัดการกองทุนตั้งกองทุนขึ้นมา นักลงทุนที่เชื่อมั่นในกองทุนนั้นก็เอาเงินไปร่วมลงทุนด้วย โดยแบ่งผลกำไรให้ผู้จัดการกองทุน โดยทั่วไปประกอบด้วยคนสามกลุ่ม

กลุ่มแรกคือผู้ให้บริการ
กลุ่มที่สองคือเทรดเดอร์ที่ทำหน้าที่ให้สัญญาณเทรด ในที่นี้จะเรียกว่า Signal provider
กลุ่มที่สามคือนักลงทุน ในที่นี้จะเรียกว่า Copier

คนทั้งสามกลุ่มทำอะไรกันบ้างในโมเดลธุรกิจนี้
ผู้ให้บริการคือผู้จัดทำระบบ Copy trade / PAMM โดยรับสมัครเทรดเดอร์ที่ต้องการเป็น Master / ผู้จัดการกองทุน PAMM / Signal provider โดย Signal provider นี้อธิบายง่ายๆก็คือเทรดเดอร์คนหนึ่งที่เชื่อในระบบเทรดของตัวเอง แล้วสมัครเข้าร่วมโครงการของผู้ให้บริการระบบ จากนั้นผู้ให้บริการก็จะทำลิสต์ / Rank อันดับของผลงานกองทุนที่มีผลงานน่าสนใจเป็นอันดับไว้ให้นักลงทุนมาเลือก Copy

เมื่อนักลงทุนเห็นว่า Master / ผู้จัดการกองทุนคนไหนทำผลงานได้ดี ก็เลือกลงทุนโดยเลือก Copy / เข้าร่วมกองทุนของ Master คนนั้น โดยเมื่อ Master ทำการเปิดสถานะเทรด ระบบจะทำการเปิดสถานะเทรดให้กับ Follower ไปด้วยโดยตามทั้งจุดเข้า จุดออก และขนาดของการเปิดสถานะเทรด

โมเดลทางธุรกิจ Copy trade / PAMM

จากคำอธิบายขั้นต้น สิ่งที่เป็นแรงจูงใจของแต่ละกลุ่มคืออะไร ?

กลุ่มผู้ให้บริการ จะได้รับค่า commission การเทรดของทั้ง Master / Follower กรณีผู้ให้บริการระบบคือโบรคเกอร์เอง (เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามาเทรดกับโบรคตนเยอะๆ แล้วทางโบรคก็ได้รับค่า spread / commission ที่มากขึ้น หรือกรณีที่ผู้ให้บริการมิได้เป็นโบรคเกอร์ กลุ่มนี้จะมีตัวอย่างเช่นโบรคเกอร์ Fxpremax / Fxpro / Alpari / Etoro  lส่วนกรณีที่ผู้ให้บริการระบบ Copy trade ไม่ได้เป็นโบรคเกอร์เอง ก็จะได้ในส่วนของค่า IB Introducing Brokers จากโบรคที่เข้าร่วมโครงการอีกที (เช่นกรณีของ myfxbook autotrade)

กลุ่มเทรดเดอร์ ผู้บริหารกองทุน (Master - Signal provider) จะมองระบบนี้ว่าเป็นการสร้างรายรับอีกทางนอกจากการเทรดตามปกติของตน โดยหากสมัครเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ แล้วมีคนติดตาม จะมีรายรับพิเศษจากคนติดตามเป็นค่าบริหารพอร์ตอีกส่วน นอกจากรายรับจากการเทรดเอง

กลุ่มนักลงทุน (Follower) จะมีเหตุผลในการเข้าร่วมเช่น
– ไม่มีความรู้ในการเทรด แต่พอจะเข้าใจวิธีดูสถิติการเทรด ว่าพอร์ตไหนเทรดดี เทรดเสี่ยง ทำให้ประเมิน Master / Signal provider ได้ว่าคนไหนน่าตาม คนไหนไม่น่าตาม
– มีความรู้ในการเทรดเอง แต่ไม่มีเวลา อยากลงทุนกับกองทุนที่ตัวเองดูผลประกอบการว่าน่าสนใจ

การเข้าร่วมระบบเหล่านี้หลายระบบนักลงทุนไม่ได้เสียอะไรเพิ่มไปจากที่มีอยู่ เพราะทางผู้ให้บริการ / Master ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายในการบริหารพอร์ต แต่จะใช้วิธีหักจาก Spread ที่เดิมโบรคนั้นเก็บจากผู้เทรดตอนเทรดเอง หรือหักจากผลกำไรที่ทำได้ ในกรณีของระบบประเภท PAMM (เช่น หาก Master ทำกำไรได้ Follower ผู้ติดตาม Master คนนั้นจะแบ่งส่วนของกำไรที่ได้ 15 % ไปให้ Master เป็นค่าบริหารกองทุน) แต่ก็ไม่ใช่ทุกระบบจะฟรี บางระบบก็ใช้โมเดลเก็บค่าบริการเป็นรายเดือนก็มีเช่นกัน เช่นระบบของ MQL4 signal

Key success สำหรับแต่ละกลุ่ม
กลุ่มผู้ให้บริการ โดยพื้นฐาน ต้องการจะให้มีคนมาใช้ระบบของตนมากขึ้นก็จะต้องพยายามพัฒนาด้านต่างๆเหล่านี้
พยายามชักจูงคนที่มีความสามารถให้มาเป็น Master account เยอะๆ

พยายามทำระบบจัดอันดับที่แสดงลิสต์ของผู้มีความสามารถจริงๆให้มาอยู่อันดับต้นๆ
พยายามผูกลูกค้าให้ใช้ระบบตนให้ยาวนาน จะได้รับผลประโยชน์จาก commission / spread / IB commission ได้ยาวนาน

ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าของโบรคเข้าใจระบบ และกลายเป็น Follower เพื่อจะได้ผูกให้ Master เปิดบัญชีไว้กับระบบของตัวเองนานๆ ไม่เปลี่ยนไปใช้ระบบเจ้าอื่น

กลุ่ม Master / ผู้จัดการกองทุน พยายามเทรดให้ผลงานดีสม่ำเสมอ เพราะมีผลกับการจัดอันดับ ที่จะนำไปประชาสัมพันธ์ให้กับ Follower ดู

กลุ่ม Follower / นักลงทุน พยายามใช้ความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อประเมินระบบเทรดของ Master เพื่อเลือกการลงทุนในแบบที่ตนรับความเสี่ยงได้ และสร้างผลตอบแทนได้อย่างเหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของการลงทุน เมื่อเราสามารถหา Master ที่เทรดได้ดี เราก็สามารถมั่นใจที่จะฝากเงินของเราไปเทรดกับเขาได้ และคาดหวังได้ว่าเงินทุนของเราจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นก็ควร Monitor ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะผลตอบแทนหรือ Risk ที่อาจเกิดขึ้น เพราะผลงานในอดีตไม่อาจยืนยันผลตอบแทนในอนาคตได้อย่างสมบูรณ์ การคอยติดตามผลงานของแต่ละกองทุนที่เราลงไป เพื่อเข้าใจสภาวะแต่ละช่วงเวลา จะทำให้เราสามารถปรับ Portfoilio ของเราเพื่อรองรับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงเมื่อตอนเริ่มต้นระบบได้

ตัวอย่างของผู้ให้บริการ Copy trade / PAMM

- Alpari
- Etoro

Myfxbook autotrade
เป็นระบบที่ผมชื่นชอบสุดในตอนนี้ เพราะตัวรายงานให้ข้อมูลด้านสถิติได้ละเอียดสุดเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ(ผมสนใจเรื่องสถิติ - ตัวแปรประเมินผลครับ) ทำให้คนที่อยากเข้าใจความเสี่ยงของการตาม Master สามารถดูข้อมูลสถิติได้หลายแง่มุม ก่อนจะเลือกติดตาม Master รายไหน ขณะที่ระบบแบบ PAMM จะบอกแค่สถิติแบบรวมๆ เราแทบไม่รู้เลยว่า Master ที่เราสนใจนั้นเทรดอะไร เทรดแบบไหน ใช้มาทิงเกลหรือเปล่า แต่ถ้าดูจากสถิติระบบ myfxbook autotrade จะทำความเข้าใจได้ลึกกว่า / นอกจากนั้นยังปรับตั้งค่าการตามได้หลายแฟคเตอร์ เช่นปรับตัวคูณขนาดการเปิด ปรับจำนวนสถานะที่จะเปิด

ข้อดีและข้อเสียโดยสรุปของระบบ Myfxbook AutoTrade
ข้อดี
1. บัญชีของ Master จะต้องเป็นบัญชีเทรดจริง (บางที่ให้ใช้บัญชีเดโมทำ Master ได้ ) ทำให้คนที่เป็น Master จะไม่อยากเทรดแบบเสี่ยงเกินไป
2. มีโบรคเกอร์ให้เลือกใช้ได้หลายเจ้า ของไทยเท่าที่เห็นบ่อยๆ จะมี Tickmill.com Fxopen.com Pepperstone.com
3. ตัวกติกาของการเป็น Master ของ Myfxbook autotrade ดูน่าเชื่อถือดี เช่น ไม่รับระบบจำพวก martingale ซึ่งเป็นระบบที่มีความเสี่ยงสูงถ้าใช้อย่างไม่ระวัง สถิติก็ต้องเก็บมานานพอควร เพื่อให้มั่นใจได้มากขึ้น ระบบสถิติและกราฟที่มีคุณภาพ และเราสามารถดาวน์โหลดข้อมูลในอดีตของผู้ที่เราสนใจมาทำการวิเคราะห์ได้
4. มีระบบทดสอบให้ใช้กับบัญชีเดโม เพื่อทดลองติดตามก่อนใช้กับบัญชีจริงได้
5. ผลตอบแทนของ Master (AutoTrade signal provider) ขึ้นกับความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นคือแรงจูงใจให้ผู้ให้สัญญาณพัฒนาการเทรดของตนเอง
6. ไม่ต้องใช้ VPS ไม่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อรัน MT4 เอง เพราะระบบทั้งหมดจะอยู่ที่ Myfxbook server
7. บัญชีที่ใช้ในการ Copy คือบัญชีของเราเอง ที่เลือกเปิดกับโบรคเกอร์ที่มีบริการเหล่านี้ – ปลอดภัยกว่าการไปฝากเงินให้คนอื่นเปิดบัญชีให้
และเราสามารถเลือกโบรคเกอร์ได้ตามที่เราชอบ
8. มี AutoTrade provider ให้เลือกหลายคน

ข้อเสีย

1. เท่าที่ทดสอบ บัญชีเดโมเหมือนจะให้ค่าผลตอบแทนที่ดีกว่าบัญชีจริง ทดสอบด้วยเดโมแล้วอย่าเพิ่งวางใจ ควรตาม Monitor บัญชีจริงไปเรื่อยๆด้วย
2. การควบคุมตัวแปรบางตัวในด้านความเสี่ยงน่าจะมีให้ควบคุมมากกว่านี้
3. เมื่อเลือกติดตาม AutoTrade provider คนไหน ระบบจะ Copy order ที่คนนั้นเปิดอยู่มาด้วยทันที
4. ทุนเริ่มต้น 1000 usd / ตามสกุลเงิน base currency ของโบรค
5. Support ค่อนข้างช้า ผ่านทางอีเมล์เท่านั้น ถามไปประมาณ 1-5 วันถึงจะได้คำตอบ
6. ยังไม่มีระบบให้ Copier พูดคุยกับ Signal provider

ในบทความต่อๆไปจะลงในเนื้อหาเกี่ยวกับ How to วิธีใช้ และวิธีที่ผมทดลองแล้วเจอด้านดี ไม่ดีไปเรื่อยๆนะครับ
หากมีคำแนะนำ หรืออ่านแล้วพบว่าบทความควรปรับปรุงส่วนไหน สามารถแนะนำได้เต็มที่เลยครับ
ขอบคุณครับ

หน้า: [1]
Risk Warning : ข้อมูลในเว็บไซค์นี้อาจถูกก๊อบปี้ข้อมูลบางส่วนจากสมาชิกบางท่าน แล้วนำไปดัดแปลงแก้ไขใหม่

คำเตือนการลงทุนมีความเสี่ยง : การซื้อขายในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (forex) หรือผลิตภัณฑ์ CFD โดยเฉพาะการเทรดที่ใช้ Leverage สูง มีความเสี่ยงสูงโปรดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน มูลค่าการลงทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ และนักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ เป็นความรับผิดชอบของตัวนักลงทุนเอง สำหรับการขาดทุนหรือสูญเสียทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเป็นผลเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมใด ๆ ก็ตาม ทั้งนี้ทางบอร์ดเป็นเพียงสื่อกลางในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถรับผิดชอบต่อผล กำไร/ขาดทุน จากการเทรดของสมาชิกเว็บบอร์ดได้นักลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

Powered by SMF 2.0 RC5 | SMF © 2006–2011, Simple Machines LLC | SMF Thailand