Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
เรื่องทั่วไป => อื่น ๆ อีกมากมาย... => ข้อความที่เริ่มโดย: narjant ที่ มิถุนายน 04, 2017, 04:31:46 PM
-
16 คำถาม มือใหม่ขุด bitcoin ต้องอ่านก่อนทำ (แปะฝาบ้านเลยยิ่งดี)
Posted on เมษายน 13, 2016 by admin
มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นสำหรับคนใหม่ที่ต้องการขุด bitcoin โดยทุกคนนั้นต่างมีความสงสัยว่า การขุด bitcoin ทำได้จริงไหม ขุดอย่างไร การขุดมีกี่แบบ ทุกคำถามที่ถาโถมเข้ามาผู้เขียนขอใช่เวทีตรงนี้ในการตอบทีละข้อ และถ้าเป็นไปได้โปรดปริ้นมันออกมาและเก็บไว้ข้างฝาบ้านของเรา เพื่อให้เราแน่ใจว่า จะสามารถทบทวนมันได้อีกครั้งเมื่อต้องการ
1.#การขุด Bitcoin สามารถทำเงินได้จริงหรือไม่
ตอบ การขุด Bitcoin สามารถทำเงินให้กับผู้ขุดได้จริง โดยเมื่อขุด (Mining) แล้วเราจะได้รับเงินในรูปแบบของ Bitcoin ซึ่งหากเรามีเครื่องขุดที่มีกำลังแรงมากพอ จะสามารถขุด Bitcoin ออกมาได้มากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว การขุด Bitcoin หากคุณใช้เครื่องขุด เช่น Antminer S7 คุณจะได้รับ Bitcoin ทันทีตั้งแต่เริ่มขุด แต่ถ้าหากคุณเลือกใช้บริการแบบ Cloud Mining คุณมักจะได้เงินหลังจากขุดผ่านไปแล้ว 1 วัน โดยได้วันละ 1 ครั้ง
2.#Bitcoin คืออะไร และมีที่มาอย่างไร
ตอบ Bitcoin ถือเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่เกิดขึ้นมาไม่นาน โดยผู้สร้างคือ คุณซาโตชิ นากะโมโตะ ชาวญี่ปุ่น และตอนนี้กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก ธูรกิจออนไลน์ เว็บการพนัน และอื่นๆ เริ่มหันมาใช้สกุลเงิน Bitcoin เป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจาก การไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ธนาคาร และที่สำคัญยังปลอดภัยจากการถูกอายัดบัญชีอีกด้วย
3.#จำเป็นต้องมีกระเป๋า Bitcoin หรือไม่
ตอบ จำเป็นต้องมี โดยคุณสามารถเลือกใช้กระเป๋า Bitcoin ออนไลน์ อย่างเช่นเว็บไซต์ coins.co.th หรืออาจเลือกใช้กระเป๋าที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณอย่าง Erectrum Wallet ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น
4.#หากไม่มีเงินทุน สามารถทำการขุด Bitcoin ได้ไหม
ตอบ สามารถทำได้ โดยในวงการขุดมักเรียกการขุดแบบนี้ว่า “สายฟรี” ซึ่งมักเป็นการเล่นเกมส์ หรือการเสี่ยงโชคต่างๆ เช่น
ข้อดีคือ คุณสามารถเก็บสะสมจำนวนเงิน Bitcoin ให้มากขึ้นเพื่อเตรียมสำหรับการไปลงทุนขุดโดย Hardware หรือเลือกใช้ Cloud mining ในการขุดก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น
ข้อจำกัดคือ กว่าจุขุดได้เงินจำนวนหนึ่งมาอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คิด และอาจได้เงินทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องสูญเสียไป ยังไม่เคยมีสายฟรีคนไหนประสบความสำเร็จ และสามารถทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ยกเว้นเป็นเจ้าของระบบเสียเอง
5.#ประเภทของการขุด Bitcoin มีอะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันดังต่อไปนี้คือ 1.การขุดโดยใช้ Hardware 2.การขุดโดยใช้ Cloud Mining ทั้งสองประเภทนั้นมีข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบแบบไหน
6.#ถ้าหากต้องขุดโดยการใช้ Hardware ควรทำอย่างไร
ตอบ การขุด bitcoin โดยใช้ Hardware นั้นสามารถทำได้อยู่ 2 วิธีหลักๆดังต่อไปนี้คือ
6.1 ใช้การ์ดจอ GPU หรือ CPU แรงๆ
ตอบ แบบแรกนี้คือการใช้การณ์ดจอ และลงโปรแกรมขุด โปรแกรมที่ง่ายที่สุดในการขุด bitcoin บนคอมพิวเตอร์คือ Minergate.com คุณสามารถทำข้อนี้ได้ตั้งแต่วินาทีนี้เลย เพราะคุณก็ใช้คอมในการอ่านบทความนี้อยู่ไงล่ะ ข้อเสนอนแนะคือ GPU ของคุณต้องแรงพอควรนะครับ เช่น GTX970 หรือ R9 s80 เป็นต้น ไม่อย่างนั้นจะไม่คุ้มค่าไฟที่เสียไป
6.2 ใช้เครื่องขุดเฉพาะทาง หรือ Asic Miner
ตอบ เครื่องขุดแบบ Asic miner นั้นออกแบบมาเฉพาะสำหรับการขุด bitcoin ทำให้มีข้อดีคือ สามารถขุดได้มากกว่า แต่แน่นอนว่าต้องแลกไปกับความสามารถอื่นๆที่ไม่สามารถทำได้ นั่นคือการเล่นคอมนั่นเอง
7.#การขุดแบบ Cloud Mining คืออะไร
ตอบ การขุด bitcoin แบบบ cloud mining คือการขุดโดยเราเช่ากำลังขุดของ คนที่มีเครื่องขุดออกมา และรับเงิน วิธีการนี้ช่วยให้เราประหยัดค่าไฟ และต้นทุนในการขุดมากขึ้น และสะดวกสบายกว่าแบบแรกเยอะมาก เหมืองที่ขุดแบบ Cloud mining ที่ดีที่สุดตอนนี้คือ hashflare.io สามารถคลิกที่นี่ เพื่อศึกษารายละเอียดได้
8.#เราควรเลือกขุดแบบไหนดีระหว่างการขุดบน Pool หรือการใช้ Cloud Mining
ตอบ ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุนของคุณ ทั้งสองแบบนั้นมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับความคิดผู้เขียนแล้ว แบบ Cloud Mining น่าจะตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุดเลยครับ
9.#วิธีแยกเว็บไซต์ขุด Bitcoin แบบหลอกลวงมีไหม
ตอบ มีครับ และสามารถดูได้อย่างง่ายๆเลย โดยมีเทคนิคดังต่อไปนี้ คือ ในขณะนี้กำลังขุด bitcoin ของโลกเราต้องอยู่ในรูปแบบ GH ขึ้นไปเท่านั้น อันเนื่องมาจากค่าความยากในการขุด หรือเรียกกันว่าค่า Diff พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นหากคุณเจอเว็บไซต์ที่ไม่ได้อ้างอิงกำลังขุดในระกับ GH แล้ว นั่นหมายถึงว่า การขุดแบบนั้นเป็นแบบหลอกนั่นเอง
10.#ควรลงทุนขุดด้วยเงินน้อยๆ หรือเงินมากดี
ตอบ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องของเงินทุนที่ใช้ในการขุด โดยปกติแล้วเหมืองขุด มักให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 10-35% ต่อเดือน และขึ้นอยู่กับรูปแบบการขุดด้วย ดังนั้นคุณต้องพิจารณาในการเลือกเหมืองขุดให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วอาจเจอเหมืองหลอกๆก็เป็นได้
11.#ผลตอบแทนจากการขุด Bitcoin เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ ผมตอบแทนในการขุด ก็คือตัว bitcoin นั่นเองครับ
12.#อะไรเป็นสิ่งที่ควรต้องระวังในการขุด Bitcoin
ตอบ สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ ระวังการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับเว็บไซต์ขุด bitcoin ที่ไม่ใช่การขุดบิตคอยน์จริงๆ เพราะเว็บเหล่านี้เปิดมาเพื่อหาค่า Ref หรือลักษณะของ Money Game ดังนั้นเลี้ยงได้ให้เลี่ยง และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดครับ สำหรับผม ผมชอบ hashflare.io เพราะจ่ายผลตอบแทนการขุดดี และสม่ำเสมอตลอดมา
13.#เมื่อฉันได้ Bitcoin มา ฉันจะเปลี่ยนมันเป็นเงินบาทได้อย่างไร
ตอบ คุณสามารถเปลี่ยนเป็นเงินบาทได้ ด้วยการใช้เว็บไซต์รับซื้อขายบิตคอยน์ในประเทศไทย ตามลิ้งค์นี้ LINK
14.#อนาคตของการขุด Bitcoin ในประเทศไทยเป็นอย่างไร
ตอบ เนื่องจากยังมีผู้มีความรู้ในการขุด bitcoin น้อยมาก ทำให้โอกาสในการทำเงินตรงนี้ยังกว้างมาก และถ้าคุณสนใจโปรดศึกษาเจาะลึกลงไปอีก แล้วมันจะทำเงินให้กับคุณในรูปแบบของ Passive Income
15.#ถ้าผมจะสร้างเหมือง Bitcoin ในประเทศไทยจะต้องทำอย่างไร
ตอบ ผมไม่แนะนำ เพราะบ้านเรานั้นมีปัญหาเรื่องของค่าไฟ ผมแนะนำให้เลือกขุดแบบ Cloud Mining เช่นที่ hashflare.io เป็นต้น
16.#แนะนำการขุดแบบ Cloud Mining ให้ผมหน่อยสิ
ตอบ ชั่วโมงนี้ เว็บ cloud mining ที่ดีที่สุดและแบ่งผลตอบแทนจากการขุดได้ดีที่สุดคือ hashflare.io ครับ หากคุณสนใจ คลิกที่นี่ เพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับ hashflare.io และลงทุนซะ!
-
ไม่กล้า ละ ครับ เน้น Forex พอ แล้ว
-
em10.gif em10.gif
-
m:7 ผมเน้นเทรดคู่เงิน Forex ก็พอจะเอาทางได้ เงินพวกอิเล็กทรอนิกส์พวก มันเดาทางยาก.....เดี้ยงกันมาแยะแล้ว...เล่นที่สบายใจล่ะกัน อิๆๆ m:19
-
ลองจินตนาการว่าคุณมีเงินจำนวนราวๆ 1 ล้านบาทอยู่ในบัญชีธนาคาร และคุณต้องเลือกที่จะใช้เงินทั้งหมดนี้ในการซื้อทอง หรือบิทคอย ห้ามซื้อผสม และเมื่อคุณซื้อเรียบร้อยแล้วเจ้าสินทรัพย์ดังกล่าวนี้จะถูกเก็บไว้ในบัญชีธนาคารที่ไม่สามารถนำออกมาได้อีกเป็นเวลา 50 ปี
คุณจะเลือกอะไร?
เจ้าสินทรัพย์สองตัวนี้มีราคาที่ใกล้เคียงกัน ถ้าหากไม่นับเรื่องความผันผวนของราคาในระยะสั้นของบิทคอย แต่นำเอาเรื่องของมูลค่าในระยะยาวมาเปรียบเทียบกัน
แน่นอน คุณอาจจะบอกว่าบิทคอยนั้นใหม่กว่า และดูน่าต้องตาต้องใจกว่า รวมถึงปัจจุบันเราอยู่ในยุคดิจิตอล ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรมที่ใครๆต่างก็จ้องจะหาแหล่งเหมืองทองคำเพื่อลงทุนแบบสมัยก่อน แต่ก็อย่าลืมว่าทองคำนั้นมีประวัติในด้านของมูลค่ามายาวนานนับพันๆปีตั้งแต่ยุคสมัยอารยธรรมที่รุ่งเรืองโบราณ
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของบิทคอยนั้นได้ทำให้ผู้ที่เข้าข้าง digital currency หลายๆคนมีความเชื่อว่ามันจะสามารถเข้ามาแทนที่ทองคำได้ในระยะยาว
นาย Spencer Bogart หรือนักวิเคราะห์แห่งบริษัท Blockchain Capital ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่า
“ถ้าหากเราลองนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ทองคำกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้มูลค่ากับมันนั้น บิทคอยนั้นมีมากกว่า และเหนือกว่าเสียอีก”
เงินฝืดและเงินเฟ้อ
ข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของบิทคอยก็คือจำนวน supply ของมันนั้นมีจำกัดและโปร่งใส โดยสิ่งนี้เองสามารถที่จะขจัดความกลัวในเรื่องของเงินเฟ้อออกไปได้
“ทุกๆคนรู้กันดีว่าข้อได้เปรียบของบิทคอยก็คือมันมีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านบิทคอย ในขณะที่หลายๆคนเชื่อว่าทองคำนั้นก็คงจะเหมือนๆกันเพราะแหล่งขุดทองบนโลกนี้มีจำกัด แต่ความจริงแล้วทองนั้นเปรียบเสมือนกับระเบิดเวลาเงินเฟ้อที่น้อยคนจะรู้” กล่าวโดยนาย Chris Burniske หรือหัวหน้าฝ่ายโปรดักแห่ง ARK Investment Management
นาย Chris ได้กล่าวเพิ่มอีกว่าแหล่งขุดทองทั่วโลกนั้นได้มีเพิ่มขึ้นอย่างลับๆราวๆ 1-2% ทุกๆปีเมื่อศตวรรษที่ผ่านมา
เขากล่าวต่อว่า
“ถ้าหากคุณลองเดินไปถามคนทั่วๆไปว่าทองที่เราขุดกันอยู่ทุกวันนี้จะหมดไปจากโลกเมื่อไหร่ พวกเขาคงจะงงงวย และพยายามวาดเส้นหรือแผนผังอะไรสักอย่างให้คุณดู ซึ่งจริงๆแล้วทองมันเป็นสินทรัพย์ที่สามารถทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ เนื่องจากจำนวนรวมของมันไม่ได้ถูกกำหนดให้ตายตัวเหมือนกับบิทคอย”
ด้วยความสามารถพิเศษของบิทคอยที่ไม่มีสินทรัพย์ตัวไหนๆเทียบได้ ถ้าลองมองในแง่ทฤษฎีแล้ว มันเหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสำหรับการโอนและการเก็บโดยเฉพาะ
นักวิเคราะห์หลายๆคนต่างก็แนะนำว่ามูลค่าของบิทคอยและความมีประโยชน์ของมันจะกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนในอนาคตให้ความสำคัญกับมันมากขึ้นเมื่อตลาดซื้อขายของทั่วไปขยับขยายกลายเป็นตลาดดิจิตัล
“เมื่อมีระบบซื้อขายผ่านทางดิจิตอลมากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่า demand ก็จะเพิ่มขึ้นตามตัวเลขทางคณิตศาสตร์ด้วย” กล่าวโดยนาย Chris ในงานเขียนของเขา
ช้าและมั่นคง
ข้อได้เปรียบที่ทองมีเหนือกว่าบิทคอยก็คือความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ แต่อย่างไรก็ตามหากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความต้องการของผู้บริโภค, การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี หรือความไม่โปร่งใสของรัฐบาลอาจจะส่งผลทำให้บิทคอยกลายเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ทันที
“ทองคำนั้นมีบางสิ่งที่บิทคอยไม่มี ซึ่งมันก็คือประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีในการเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่า นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้คนทั่วไปที่ต้องการจะเก็บสะสมและลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าว” กล่าวโดยนาย Spencer
ทองคำนั้นได้พิสูจน์ตัวมันเองในการเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเมื่อรัฐบาลบางรัฐบาลได้ออกกฏหมายจำกัดการครอบครองทองออกมา
สิ่งแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 1933 เมื่อประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt แห่งสหรัฐฯเคยออกกฏหมายห้ามมีทองไว้ในครอบครองในประเทศสหรัฐอเมริกา
“มากกว่า 5,000 ปีมาแล้วที่ทองคำและเงินนั้นได้พิสูจน์ตัวมันเองว่าเป็นเงินที่แท้จริง เนื่องจากมันสามารถที่จะมีอายุอยู่ได้ยาวนานกว่าอารยธรรมของมนุษย์หลายๆอารยธรรมรวมกันเสียอีก” กล่าวโดยนาย Dave Kranzler แห่ง Investment Research Dynamics
ในแง่มุมนี้ นาย Dave ได้กล่าวถึงความเสี่ยงที่อาจมีขึ้นจากคู่แข่งของบิทคอยหรือทองคำนั่นเอง
สิ่งที่ทำให้ทองคำได้เปรียบมากกว่าบิทคอยนั้นก็คือ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์กรหรือเครื่องขุดของใครบางคนบนอินเทอร์เนต รวมไปถึงมันมีการปกป้องและคุ้มครองเป็นอย่างดีจากรัฐบาล กล่าวโดยนาย Dave
“มันไม่มีอะไรสามารถที่จะหยุดรัฐบาลใดๆก็แล้วแต่ในการปิดหรือทำลายอินเตอร์เนตในประเทศนั้นๆลง” เขากล่าว
“เราได้เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของระบอบประชาธิปไตยมาแล้ว แต่ระบอบเผด็จการยังไงมันก็ต้องมีวันกลับมาได้อยู่ดี และเมื่อมันกลับมา รัฐบาลจะมีอำนาจเหนือทุกอย่างในประเทศ”
มูลค่าทางด้านแร่ธาตุ
ทองคำนั้นยังได้พิสูจน์ตัวมันเองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถจะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีอย่างง่ายดาย
หากอ้างอิงจากนาย Chris นั้น ถึงแม้ว่าบิทคอยจะประสบความสำเร็จในการสร้างความเชื่อและวัฒนธรรมอินเทอร์เนตมาให้ผู้คนได้มาพักหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังอยู่บนความเสี่ยง และสามารถที่จะถูกทดแทนได้อย่างง่ายดาย
“ตำแหน่งราชาแห่งเงินดิจิตอลนั้นอาจจะไม่ได้อยู่อย่างถาวรถ้าหากบิทคอยนั้นไม่สามารถที่จะดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ๆเข้ามาได้ รวมไปถึงหยิบยื่นความง่ายดายและสะดวกในการใช้งานให้แก่ผู้ใช้” เขากล่าว
แต่กระนั้น ดอกทิวลิปแห่งดัชช์ รวมไปถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น, บริษัทดอทคอมและบริษัทจัดหาที่อยู่ในสหรัฐฯจะเกิดขึ้นมาและตายจากไปแล้ว แต่ทองคำนั้นก็ยังคงอยู่ไว้ได้
“ผมไม่คิดว่าทุกๆคนจะสามารถพูดได้เต็มปากว่าสินทรัพย์ที่มนุษย์นั้นสร้างขึ้นมาจะสามารถคงอยู่ได้มากกว่า 50 ปีหลังจากนี้” กล่าวโดยนาย Josh Crumb หรือผู้ก่อตั้งร่วมแห่งบริษัท GoldMoney และอดีตนักกลยุทธ์แห่ง Doldman Sachs
“ผู้คนมักจะลืมไปว่าทองคำนั้นไม่ใช่ก้อนหินของเล่น หรือสินทรัพย์สำหรับซื้อขาย แต่มันคือแร่ธาตุ ทองคำนั้นถือเป็นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่ง 50 ปีหลังจากนี้มันก็จะยังมีค่าอยู่แน่นอน”
ในขณะที่นักลงทุนอย่างสองพี่น้อง Winklevoss นั้นได้ออกมาแนะนำเทคโนโลยีในอนาคตที่สามารถทำให้มนุษยชาติสามารถขุดแร่ออกจากอุกาบาตหรือหินอวกาศนั้นจะนำมาซึ่งการสั่นคลอนของมูลค่าของทองคำ (รวมไปถึงทำให้ความหายากนั้นลดลง) นาย Josh นั้นยังได้กล่าวอีกว่าเทคโนโลยีในอนาคตนั้นคือศัตรูที่แท้จริงของบิทคอย
“ผู้คนนั้นได้พยายามที่จะศึกษาในแร่ทองคำมานานกว่า 600 ปี ผมคิดว่าพวกเราจะได้เห็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ออกมาทำลายบิทคอยในอีกไม่กี่ปี ก่อนที่เราจะได้เห็นการขุดแร่จากอุกาบาตเสียอีก”
จะมาแค่ชั่วคราวหรือมาทดแทน?
บางทีการตั้งคำถามว่าบิทคอยนั้นจะมาทดแทนทองคำในแง่ของการเป็นสินทรัพย์สากลนั้นอาจจะไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากเราก็รู้ๆกันดีว่าเจ้าสินทรัพย์สองตัวนี้สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้
“ผมชอบบิทคอย โดยเฉพาะในแง่ของระยะสั้น เพราะงั้นมันก็เหมือนๆกับการกล่าวว่า ‘คุณชอบทองคำหรือคุณชอบการลงทุนในหุ้นของเฟสบุคในปี 2011 ล่ะ'” กล่าวโดยนาย Josh “สำหรับผมนั้น สองอย่างนี้คือความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ในแง่ของการสร้างพอทหุ้นที่ดีนั้น คุณจะต้องกระจายความเสี่ยง คุณจะต้องมองหาสินทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน และเวลาราคาร่วงมันก็จะต้องไม่ร่วงพร้อมกัน” กล่าวโดยนาย Crhis โดยสรุปว่า
“ยังไงเจ้าสองตัวนี้มันก็สามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อท่านลกันได้อยู่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อยเลยนะ ถ้าหากจับคู่บิทคอยกับทองคำให้มาสู้กันจนถึงตาย”
============================
credit : siamblockchain.com
-
ราคาของเหรียญ cryptocurrency หรือผู้บุกเบิกเหรียญทุกๆเหรียญบนตลาดได้พุ่งทะลุ 5,000 ดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการเคลื่อนไหวของราคาที่ระดับราวๆ 4,700-4,800 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ อ้างอิงจากราคาจาก CoinDesk โดยเมื่อก่อนหน้านี้เมื่่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีผู้เชียวชาญอออกมาทำนายว่าราคาของมันจะพุ่งไปถึง 5,000 ดอลลาร์หลังจากการเปิดใช้งาน Segwit แล้ว ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่พวกเขาคาดการณ์
(http://upic.me/i/xr/000000000.jpg)
โดยในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ ราคาของ Bitcoin ได้ร่วงลงมาปรับฐานที่ 4,845 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 80 พันล้านดอลลาร์
คำทำนายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งคุณ Max Keiser พิธีกรรายงานช่อง RT และคุณยุทธวิธี หรือนักเทรดเหรียญคริปโตมืออาชีพของประเทศไทยก็ได้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ว่าจะไปถึง 5,000 ดอลลาร์เมื่อช่วงประมาณปลายเดือนกรกฏาคม ซึ่งในขณะนั้นราคา Bitcoin อยู่ที่แถวๆ 2,300-2,400 ดอลลาร์เท่านั้น
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
โดยสาเหตุหลักๆของการขึ้นของราคานั้น พวกเขามองว่า Bitcoin ได้ถูกติดตั้งเทคโนโลยีที่ช่วยในการ scaling ที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาค่าธรรมเนียมแพงนามว่า Segregated Witness (SegWit) ที่ได้ทำการเปิดใช้งานไปเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทคโนโลยีตัวนี้จะเปิดใช้งานแล้ว แต่ก็ยังต้องรอการปรับตัวจากผู้ให้บริการกระเป๋าอีกมาก เนื่องจากการโอน Bitcoin หากันในปัจจุบันนั้นต้องถูกโอนจากกระเป๋าที่รองรับ SegWit ไปหากระเป๋าที่รองรับ SegWit ด้วยกันถึงจะได้ใช้ประโยชน์นี้อย่างเต็มที่ ทว่าในปัจจุบันนั้น ธุรกรรมบนเทคโนโลยีดังกล่าวยังคิดเป็นจำนวนที่น้อยมากๆ
ตลาดไทยตอบรับ
สำหรับตลาดซื้อขาย Bitcoin อันดับหนึ่งในไทยอย่าง Bx นั้นก็ได้มีการพุ่งขึ้นตอบรับของราคาเช่นกัน โดยราคานั้นพุ่งไปแตะจุดสูงสุดที่ 169,888 บาทหรือ 5123.282 ดอลลาร์ และในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ ราคา Bitcoin บนตลาดไทยร่วงลงมาปรับฐานอยู่ที่ 165,500 บาท และมีโวลลุ่มการซื้อขาย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 608.21 BTC
-
อาทิตย์ที่แล้วยัง 4 พันกว่าอยู่เลยอีกทิศนี้ 5 พันกว่าแล้วสุด ๆ ไปเลย
.gif)
-
หลุด 4000 แระ หลัง จาก เจอ ข่าว จีน ให้เป็น สิ่ง ไม่ถูกกฏหมาย m:9 m:9
-
ลงแล้วหรอ มีขึ้นก็มีลงน้า


-
ธปท.จับตาเงินดิจิทัลกระทบเศรษฐกิจ พร้อมเตือนผู้เข้าไปซื้อขายบิทคอยน์ ต้องมีความระมัดระวัง
วันนี้ (14ก.ย.60) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเกาะติดสกุลเงินดิจิทัลของไทย ว่า ได้ติดตามดูพัฒนาการของสกุลเงินดิจิทัลที่ต้องอาศัยการเข้ารหัสอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง บิทคอยน์ ที่กำลังได้รับความนิยมสูงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหากพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินดังกล่าวอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม ทางธปท. อาจมีมาตรการออกมาควบคุม
ทั้งนี้ธปท.ได้ย้ำว่าแม้ในอนาคตธปท. จะมีมาตรการออกมาดูแลสกุลเงินดิจิทัล แต่ไม่ได้หมายความว่า ธปท. จะต้องยอมรับให้สกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต้องดูเงื่อนไขในหลายๆ อย่างประกอบด้วย
พร้อมกันนี้ ธปท.ยังได้เตือนผู้ที่จะเข้าไปซื้อขายบิทคอยน์ ว่าต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากเท่าที่ติดตามส่วนใหญ่ ยังเป็นลักษณะของการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากกว่านำมาใช้ซื้อสินค้า ในขณะที่ราคาของตัวบิทคอยน์เองมีความผันผวนค่อนข้างมาก ดังนั้นคนที่จะเข้าไปซื้อขายเงินบิทคอยน์จำเป็นต้องมีความเข้าใจในกลไกของตัวบิทคอยน์ด้วย
-
เห็นด้วยนะ ขึ้นก็ขึ้นแบบไม่หยุด ราคามันสูงเกินจริงไปแล้ว

-
หลุด 3500 ไป แระ mm27 mm27 m:9 m:9
-
.gif)
.gif)
.gif)
-
สงสัย วันนี้ หลุด 3000 แน่ m:9 m:9
-
กราวรูดเลยหรือครับ เพราะจีนอย่างเดียวเลย

จะเป็น 0 หรือป่าว คงไม่เกิดปาติหารหรอกนะ
-
(http://www.mx7.com/i/0f1/wFYayi.jpg) (http://www.mx7.com/view2/A7MuAcIkJZcEBnB2)
เหมือน ๆ จะ คืนชีพ นะ m:23 m:23 mm27 mm27
-
Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
"โดยธนาคารกลางแห่งประเทศจีนกำลังทดสอบต้นแบบสกุลเงินดิจิทัลด้วยการจำลองการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารพาณิชย์บางแห่งประเทศจีนได้ประกาศถึงกลยุทธ์ของธนาคารในการจะนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ควบคู่กันกับเงินสกุลหยวน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเริ่มใช้จริงเมื่อใด และธนาคารก็ได้ดำเนินการทดสอบอย่างระมัดระวังอย่างมากอย่างไรก็ตาม การทดสอบก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก โดยแสดงให้เห็นว่าประเทศจีนได้ให้ความสำคัญกับความท้าทายทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างซับซ้อนต่อสภาพเศรษฐกิจและระบบการเงินทั่วโลกสกุลเงินดิจิทัลที่มีธนาคารกลางรับรองการมีค่าของเงินเทียบเท่าการใช้เงินที่เป็นธนบัตร อาจเป็นการลดต้นทุนในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้บริการทางการเงินสามารถดำเนินการได้ในวงกว้างมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ที่มีประชากรจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงธนาคารแบบดั้งเดิมได้ โดยสกุลเงินดิจิทัลควรจะต้องลดต้นทุนการผลิตและการดำเนินการให้ถูกลง อีกทั้งเพื่อที่จะลดการปลอมแปลงด้วยที่สำคัญมากกว่าคือ สกุลเงินดิจิทัลจะทำให้รัฐบาลจีนสามารถควบคุมธุรกรรมดิจิทัลได้มากขึ้น ที่ในขณะนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก และยังสามารถติดตาม ตรวจสอบย้อนกลับแต่ละธุรกรรมได้ ซึ่งจะช่วยลดการคอร์รัปชั่น ที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งสกุลเงินดังกล่าวอาจจะแสดงให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันได้แบบเรียลไทม์ซึ่งมีประโยชน์มากต่อผู้กำหนดนโยบาย และอาจจะช่วยอำนวยความสะดวกการทำธุรกรรมข้ามแดนรวมทั้งการใช้เงินหยวนนอกประเทศจีนสกุลเงินดิจิทัลที่รู้จักในชื่อ cryptocurrencies เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความสนใจในการลงทุนและจับตามองไปที่ Bitcoin ที่เกิดขึ้นในปี 2008 โดยการทำธุรกรรมโดยใช้ Bitcoin รู้จักกันดีในนาม Blockchain ที่ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องมีหน่วยงานกลางประเทศจีนไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่สนใจยกเครื่องสกุลเงิน โดยในปีนี้อินเดียได้ลดการใช้ธนบัตรเพื่อลดการหนีภาษีและรายได้ที่ผิดกฎหมายและในขณะที่ธนาคารกลางบางแห่งซึ่งรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ธนาคารแห่งประเทศแคนาดา ธนาคารแห่งประเทศเยอรมนี และธนาคารกลางสิงคโปร์ กำลังศึกษาสกุลเงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางรับรอง โดยประเทศจีนถือเป็นแห่งแรกของโลกที่มีการทดลองเรื่องนี้หนึ่งในความกังวลของธนาคารกลางอื่นๆ ที่กำลังพิจารณาเรื่องสกุลเงินดิจิทัลที่รับรองโดยธนาคารกลางก็คือ อาจจะเป็นการทำลายระบบธนาคารแบบดั้งเดิมได้เพราะทุกคนสามารถเปิดบัญชีโดยตรงกับธนาคารกลางได้สกุลเงินดิจิทัลของประเทศจีนได้มีการออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ทั้งนี้จากรายงานใน Tsinghua Financial Review วารสารทางการศึกษา ระบุว่า Yao Qian รองผู้อำนวยการแผนกเทคโนโลยีของธนาคารแห่งประเทศจีน ได้กล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลสามารถรวมเข้ากับระบบธนาคารปัจจุบันได้ โดยธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการกระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับสกุลเงินของธนาคารกลางในขณะที่ประเทศอื่นๆ ได้เสนอให้มีการใช้โครงสร้างของ Bitcoin และมีธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในโลกกำลังทดลองใช้อยู่ โดยสกุลเงินที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศจีนได้มีการออกแบบที่แตกต่างออกไปYao ได้กล่าวว่า สกุลเงินอาจจะใช้รายการเดินบัญชีแบบกระจายตัวที่ผู้ใช้ทุกคนจะต้องมีเป็นของตัวเอง (distributed ledger) ในทางที่จำกัด โดยอาจจะไม่ได้ใช้ Blockchain ในการทำธุรกรรมเพราะอาจเป็นการพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้งานที่มากจนไม่สามารถจัดการได้สำหรับสกุลเงินที่มีปริมาณการทำธุรกรรมมหาศาลสำหรับเงินหยวนแต่รายการเดินบัญชีแบบกระจายตัว (distributed ledger) ดังกล่าวอาจจะใช้เป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของมูลค่าของ Bitcoin ก็ยังคงไม่แน่นอนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ในขณะที่เขียนบทความนี้ Bitcoin มีมูลค่า 2,662 เหรียญสหรัฐซึ่งมีค่าเป็นสองเท่าจากเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา) จำนวนของเงิน cryptocurrencies ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเทคโนโลยี Blockchain ก็กำลังได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดSimon Johnsom ศาสตราจารย์แห่ง MITs Sloan School of Management ศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการเงินและเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศโดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า จีนกำลังอยู่ในช่วงของการทดลองการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และเงินดิจิทัลซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีนวัตกรรมมากมายในภาคเอกชนที่คล้ายๆ กับ Alipay และจีนยังเป็นผู้ใช้ Bitcoin รายใหญ่ที่สุดด้วยJohnson ยังเพิ่มเติมอีกว่าจีนมาถูกทางแล้วในการที่จะเริ่มมีการใช้สกุลเงินดิจิทัลอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีการรวมกันของเทคโนโลยีที่หลากหลาย และก่อให้เกิดประโยชน์กับระบบการชำระเงินของพวกเขาและยังสร้างงานสร้างอาชีพอีกด้วยReference: https://www.technologyreview.com/s/608088/chinas-central-bank-has-begun-cautiously-testing-a-digital-currency/"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378555312/
-
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
.
ตามที่ได้เตือนกันในคลาสเสมอว่า "ข่าวสาธารณะที่มาถึงเรา คือข่าวที่ผู้ให้ข่าวต้องการให้เรารู้ตามนั้น แต่แทบจะไม่มีประโยชน์ในการช่วยตัดสินใจอะไรเลย" ลองดูข่าวนี้ครับ
.
มหกรรม "ชงเองกินเอง" แบบไม่แคร์สื่อของ JPMorgan ก็โดนตีแผ่เป็นเรื่องฉาวโฉ่อีกครั้ง หลังจากที่ไม่กี่วันก่อน CEO ของบริษัทคือนาย Jamie Dimon ออกมาประกาศตราหน้า BITCOIN ว่าเป็นสิ่งลวงโลก ถ้าเทรดเดอร์ของบริษัทคนไหนเทรดบิทคอยน์จะโดนไล่ออกทันที
.
แต่ดันมีหลักฐานปรากฏว่า JPMorgan Securities กลับเทรดสินค้าที่ชื่อ BITCOIN XBT ซึ่งเป็นหุ้นที่ขึ้นลงอ้างอิงราคา BITCOIN ซึ่งรายงานการเทรดที่เผยแพร่บนเวปไซด์ของ Sweden's Nordbank แจ้งว่า JPMorgan ได้ซื้อ XBT จำนวน 9000 หุ้น ซึ่ง XBT ทุกหุ้นถูกรับรองโดยการถือครอง BITCOIN จริง ๆ
.
เหตุการณ์นี้สร้างความหัวเสียให้กับชุมชนคนเทรด BITCOIN พอสมควร เพราะนอกจากการออกมาทุบราคาของคุณ Jamie แล้ว ยังเป็นช่วงที่มีข่าวด้านลบต่อราคา BITCOIN จากจีนอีกด้วย
.
"JPMorgan bought the mxxher fxxking dip." (เซนเซอร์) เป็นถ้อยคำที่ชาวเนท Tweet สรรเสริญ JPMorgan ที่ให้ผู้บริหารออกมาทุบราคาแล้วกลับแอบซื้อเงียบ ๆ
.
เหตุการณ์ลักษณะนี้เป็นข้อเตือนใจนักลงทุนถึงความจริงที่ว่า "ไม่มีสัจจะในหมู่โจร" (โดยเฉพาะโจรใส่สูท) ระหว่างที่ข่าวร้ายถูกปล่อยออกมา เราลองตั้งสตินึกดูว่าพวกเราขายแล้วใครกำลังซื้ออยู่ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก และนี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
.
-
ทำไปได้ em8.gif
-
จีนสั่งแบน “บิตคอยน์” ลดความเสี่ยงอาชญากรรมในโลกไซเบอร์
บีบีซีรายงานว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนออกคำสั่งเตรียมยกเลิกการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล “บิตคอยน์” (Bitcoin) ทั่วประเทศ โดยเริ่มดำเนินการในเมืองใหญ่อย่างกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ โดยทางการจีนได้สั่งให้ตลาดซื้อขายบิทคอยน์ในกรุงปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ยื่นแผนยุติการดำเนินงานภายใน วันที่ 20 ก.ย. ก่อนเวลา 18.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น และคาดหวังว่าการแลกเปลี่ยน Bitcoin จะสามารถยุติลงได้ในปลายเดือนนี้
ทั้งนี้รัฐบาลจีนออกมาชี้แจงสาเหตุของคำสั่งดังกล่าวว่าเป็นมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ และลดอัตราอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ที่ใช้ เงินดิจิทัล เป็นเครื่องมือ เช่น การฟอกเงิน การค้ายาเสพติด และการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย
-
เป็นเรื่องเลย
-
m:5 อยากจะเล่น หรือเทรด เหมือน แต่ "กลัวจะล่ม" เหมืนอ LR (liberty reserve) สกุลเงินอิเล็คทรอนิกส์ที่เคยโด่งดัง...
m:35 แค่เทรดคู่เงินระหว่างประเทศ นี้ ก็ "ลำบาก" แล้ว หุ ๆๆ
-
บทความแฉกลโกงในโลก cryptocurrency ครับ ยาวหน่อยแต่อ่านแยกส่วนได้ (มี 8 ส่วน บางส่วนก็ไม่สำคัญมาก)
อันที่ผมคิดว่าสำคัญคือส่วนที่ 3 เรื่อง ICO โดยข้อมูลที่น่าสนใจคือกลโกงของการทำ ICO ในตลาดจีน ซึ่งมีกระบวนการ "ปั่น" ที่ชัดเจน จากตัวละคร 2 ตัวคือ
- community managers (CM) ทำหน้าที่เอาเหรียญไปขายในตลาดแลกเปลี่ยน โดยแลกกับ commission
- market maker (MM) อธิบายเป็นศัพท์ไทยแบบง่ายๆ ก็คือ "เจ้ามือหุ้น" มีหน้าที่ลากและทุบ
ข้อมูลในบทความบอกว่า ตอนนี้ในจีนมีการขาย ICO ออกใหม่เดือนละ 60 ราย และในครึ่งปีแรก 2017 มีนักลงทุนเข้าไปเล่นแล้วเกิน 100,000 ราย จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ทางการจีนจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจังมาก ถึงขนาดสั่งให้ exchange ต้องหยุดกิจการทันที
ประเด็นอื่นๆ ก็น่าสนใจทั้งเรื่อง (4) บทบาทของ VC ที่เข้ามาช่วยปั่น (5) การต่อสู้ของเหรียญแต่ละตระท่านล (6) ตัวมูลค่าของเหรียญในแง่ของ market cap ที่อาจไม่มีอยู่จริง
ป.ล. เขียนดักไว้ก่อน การลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้าเล่นเหรียญพวกนี้แล้วได้กำไร ผมก็ดีใจด้วย (มีเพื่อนผมเล่น high frequency trading แล้วกำไร ผมก็ดีใจด้วยเหมือนกัน) แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้แบบนั้น ดังนั้น ถ้ามีใครที่สนิทกันเป็นส่วนตัวมาถามว่าควรเข้าไปเล่นไหม คำตอบคือ no ทุกกรณี
-
ชอบสรุป สรุปได้ดี 
ดังนั้น ถ้ามีใครที่สนิทกันเป็นส่วนตัวมาถามว่าควรเข้าไปเล่นไหม คำตอบคือ no ทุกกรณี
-
ผมได้ฟังเรื่อง “บิทคอยน์” (Bitcoin) จากเพจ “ถามอีกกับอิก เรื่องการลงทุน” ของคุณอิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข พิธีกร ที่ได้สัมภาษณ์ผู้รู้ ชื่อ “พี่รัน” (เขาไม่ได้บอกชื่อจริง) ผู้เชี่ยวชาญ และเขาก็อธิบายได้เคลียร์มากๆ ผมจึงขอสรุปความ และเอามาเรียบเรียงไว้ ณ ที่นี้ โดยได้เสริมถ้อยคำของตนเองเข้าไปเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจ ขอบคุณ อิก และผู้ให้สัมภาษณ์ที่ถ่ายทอดข้อมูลดีๆ ไว้ด้วยนะครับ – ชัชวนันท์
(ฟังคลิปฉบับเต็มได้ที่ Youtube ของ “ถามอีกกับอิก เรื่องลงทุน” ที่นี่ )
เรียบเรียง โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
บิทคอยท์ ทำหน้าที่เหมือนกับ “ทองคำ”
สมัยก่อนที่ทองคำมีค่าขึ้นมา ก็เพราะคนใช้มันเป็น “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน”
คุณลักษณะของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน คือต้องหายาก ปลอมยาก และได้รับความเชื่อมั่น
“ความเชื่อมั่น” ( trust) และ “จำนวนที่จำกัด” (limited supply) คือองค์ประกอบสำคัญที่สุด
นึกถึงภาพวาดของ แวนโก๊ะ ทั้งหมดมีอยู่ไม่กี่ร้อยภาพ
แต่ในสมัยที่แวนโก๊ะยังมีชีวิต มันกลับขายไม่ได้ เพราะคนไม่เชื่อมั่นในแวนโก๊ะ ไม่รู้ว่าเขาคือใคร
ตลอดชีวิตของแวนโก๊ะ เขาขายภาพได้แค่ภาพเดียว
ทว่าเมื่อเขาตายไปนานแล้ว ความเชื่อมั่นก็เกิดขึ้น ภาพของเขาจึงมีมูลค่าขึ้นมา
vangogh
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า คนสมัยก่อนใช้ “ทองคำ” เป็นตัวกลาง แต่ด้วยความที่ทองคำพกพาได้ยาก
เลยมีการพิมพ์ “กระดาษ” ออกมาเพื่อใช้แทนมูลค่าของทองคำ
นี่เป็นที่มาของเงินสกุลต่างๆ หรือ currency ภาษาไทยคือ “อัตราแลกเปลี่ยน” นั่นเอง
เงินดอลล่าร์ เงินปอนด์ เงินเยน และเงินหลายสกุลทั่วโลก เหล่านี้ล้วนเป็น currency
เมื่อก่อน การที่ชาติหนึ่งๆ จะพิมพ์เงินออกมาได้ ต้องมีทองคำฝากไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยสามารถพิมพ์เงินได้ตามมูลค่าทองคำที่ตัวเองมีอยู่
แต่แล้ว พอสหรัฐอเมริกาบุกเวียดนาม สหรัฐฯ ต้องใช้เงินมหาศาล จึงพิมพ์เงินออกมามากกว่าทองคำที่ค้ำไว้ ซึ่งผิดข้อตกลง
ด้วยเหตุนี้ ในปี 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน จึงประกาศเลิกผูกเงินดอลล่าร์กับทองคำ และสหรัฐฯ ก็พิมพ์เงินออกมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ (มูลค่าทองคำต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ จึงสูงขึ้นตลอดมา)
gold-163519_960_720
ปัจจุบัน หลายชาติ รวมทั้งญี่ปุ่น มีการพิมพ์เงินออกมาเอง โดยไม่ผูกกับทองคำ แบบที่สหรัฐฯ ทำ และเมื่อไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นก็เพิ่งทำ QE โดยใส่เงินเพิ่มเข้าไปในระบบ ตามรอยอเมริกา
นั่นทำให้ในโลกยุคปัจจุบัน “เงิน” ที่เราใช้กันอยู่ เหลือแต่ “trust” แต่ความเป็น “limited supply” นั้น หมดไปแล้ว
เหตุที่สกุลเงินต่างๆ ยังรักษาคุณค่าของมันอยู่ได้ เพราะผู้คนมีความเชื่อถือในประเทศนั้นๆ ไม่ใช่เพราะความ “มีอยู่จำกัด” ของ “เงิน” อีกต่อไป
ดู “ซิมบับเว” เป็นตัวอย่าง ซิมบับเวเป็นประเทศที่ไม่มี “trust” พอพิมพ์แบงก์ออกมามากๆ จึงเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ปัจจุบัน เพดานหนี้ภาครัฐของหลายประเทศ ยกระดับขึ้นไปสูงมาก และหากรัฐบาลหนึ่งเกิดไม่ชำระหนี้ (default) ก็อาจส่งผลเป็นโดมิโนไปทั่วโลก
(ขอเสริมว่าเพราะโลกทุกวันนี้มีความเชื่อมโยงทางการเงินสูง มีการให้ท่าน้ ให้เงินช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากชาติหนึ่งหยุดชำระหนี้ ชาติเจ้าหนี้ย่อมได้รับผลกระทบ ดังกรณีของกรีซ หากกรีซหยุดชำระหนี้ เยอรมนีและอีกหลายๆ ชาติเจ้าหนี้จะเจ็บหนักที่สุด- ผู้เรียบเรียง)
และผู้คนอาจไม่เชื่อถือใน “เงินตรา” แบบดั้งเดิมอีก
จากปัญหาทั้งหมดข้างต้น ทำให้มีคนๆ หนึ่ง ใช้ชื่อว่า “ซาโตชิ นากาโมโต้” คิดค้นส่ิงที่เรียกว่า “บิทคอยน์” (bitcoin) ขึ้นมา
บิทคอยน์เป็น “อัตราแลกเปลี่ยน” ชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เหมือนกับ “ทองคำ” ในสมัยก่อน โดยซาโตชิได้ทำให้มันมีจำนวนจำกัด (limited supply) เพื่อให้มีคุณค่าในการแลกเปลี่ยน
(ทองคำทั้งโลกมีแค่ 2 แสนตัน ส่วนบิทคอยน์ ถูกทำขึ้นมาเพียง 21 ล้านเหรียญบิทคอยน์ และจะไม่เพิ่มมากไปกว่านี้)
ในเรื่องของความปลอดภัย ถามว่า มีโอกาสหรือไม่ที่บิทคอยน์จะถูกแฮ็ค? ก็ต้องตอบว่า กลไกของบิทคอยน์ คือการเก็บข้อมูล transaction ไว้ในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะโดนแฮ็ค เพราะนั่นหมายถึงต้องแฮ็คคอมฯ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก
ด้วยเหตุนี้ บิทคอยน์ จึงเป็นธนาคารที่ไม่มีวันถูกปล้น แต่เหตุที่มีข่าวว่ามีการ “แฮ็คบิทคอยน์” กันอยู่บ่อยๆ นั้น เป็นเพราะคนที่มีบิทคอยน์ เอาบิทคอยน์ไปฝากไว้กับ exchange agent แล้วตัว agent โดนแฮ็ค บิทคอยน์จึงถูกขโมยไป
ถามว่า บิทคอยน์จะเข้ามาหมุนเวียนในระบบได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ ก็เหมือนกับ “ทองคำ” คือต้องมีคนไป “ขุด” มันขึ้นมา
bitcoin-2730220_960_720
ถามต่อว่า การ “ขุด” บิทคอยน์ ทำอย่างไร?
ต้องอธิบายถึงระบบของบิทคอยน์ก่อนว่า ในการโอนเงินให้กันและกันของบิทคอยน์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ซึ่งจะทำให้มีคนรับรู้มากมาย และโกงกันไม่ได้
พูดอีกอย่างคือ จะมี “พยาน” ที่รับรู้การโอนเงินดังกล่าว
คนที่เป็น “พยาน” ในที่นี้ เรียกว่า miner หรือ “นักขุด” แต่ไม่ใช่ใคร อยู่ๆ จะมาขุดก็ได้ โดยคนที่จะมาเป็น miner ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “เครื่องขุด” ซึ่งก็คือ “การ์ดจอ” (เป็นอุปกรณ์ที่มีขายในท้องตลาด โดยราคาของมันมักจะขึ้นลงตามตัวบิทคอยน์)
และ “ค่าตอบแทน” ของการเป็น miner ก็คือตัว “บิทคอยน์” นั่นเอง
bitcoin-2714191_960_720
สำหรับกระบวนการขุดนั้น เมื่อมีอุปกรณ์แล้ว ก็แค่เปิดเครื่อง ลงโปรแกรม แล้วเริ่มขุดได้ โดยซีพียูจะถอดสมการคณิตศาสตร์ไปเรื่อยๆ (เป็นสมการที่ ซาโตชิ เป็นคนคิด ซึ่งผู้ขุดไม่ต้องคิดเลขแก้สมการเอง เพียงเปิดคอมฯ ทิ้งไว้เฉยๆ ให้ซีพียูของการ์ดจอคิดให้) เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ขุดก็จะได้บิทคอยน์ออกมา
อาจกล่าวได้ว่า ผู้คิดค้นบิทคอยท์ สร้างระบบที่ดึงดูดคนมาทำงานให้ แล้วจ่ายค่าตอบแทนเป็น product ของระบบนั้นเอง เหมือนเจ้าของบริษัทปลากระป๋อง จ้างคนมาทำงานในโรงงาน แล้วให้ปลากระป๋องเป็นค่าตอบแทน ซึ่งถือว่าฉลาดมากๆ – ผู้เรียบเรียง
(อย่างไรก็ตาม สมการที่ว่าน้ีจะยากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดนึง นักขุดจึงต้องซื้อการ์ดจอที่สเปคสูงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการลงทุนเพิ่ม เหตุที่ซาโตชิเขียนระบบเช่นนี้ก็เพื่อสร้างบาลานซ์ไม่ให้บิทคอยน์ถูกขุดกันได้ง่ายเกิน ซึ่งจะส่งผลให้ตัวของมันสูญเสียมูลค่า)
เมื่อได้บิทคอยน์มา ผู้ขุดก็มีทางเลือก คือจะขายต่อเอาเงิน หรือเก็บมันไว้ก็ได้ โดยทุกวันนี้ มีคนมากมายเข้ามา “ซื้อๆ ขายๆ” (trade) บิทคอยน์ เพื่อทำกำไร
จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบิทคอยน์มีอยู่สองกลุ่ม คือ “นักขุด” (miner) และ “นักเทรด” (trader)
ว่ากันว่า ถึงวันหนึ่ง เมื่อบิทคอยน์ถูกขุดขึ้นมาหมดแล้ว สภาพคล่องของมันจะหมดไป แต่มูลค่าของมันจะเริ่มมีเสถียรภาพ ไม่เหวี่ยงไปมาเหมือนทุกวันนี้
นั่นจะทำให้บิทคอยน์สามารถเอาไปใช้งานได้จริง และกลายเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินทางเลือก โดยการที่มันจะถูกหรือแพง ก็ขึ้นอยู่กับ trust ของคน เหมือนสกุลเงินทั่วไปในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ที่รัฐบาลของหลายประเทศจะไม่ยอมรับบิทคอยน์ เพราะกลัวว่าจะทำให้เงินของประเทศตนด้อยค่าลง แต่ในบางประเทศอย่าง เวเนซูล่า ที่คนไม่เชื่อถือในเงินตรา ไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ธุรกิจบิทคอยน์กลับเฟื่องฟูมาก
ทุกวันนี้ ในประเทศอย่าง ญี่ปุ่น และ อเมริกา บิทคอยน์สามารถใช้ซื้อของได้บ้างแล้ว และวันหนึ่ง เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้น บิทคอยน์จะทำหน้าที่เป็น medium of exchange ได้อย่างสมบูรณ์
คำถามยอดฮิตก็คือ บิทคอยน์เวลานี้เป็น “ฟองสบู่” หรือยัง?
ก็ต้องบอกว่า ปัญหาของบิทคอยน์ คือคนไม่ได้มองมันในฐานะ “อัตราแลกเปลี่ยน” จริงๆ แต่สนใจเพราะอยากเข้าไป “เก็งกำไร”
และเหตุที่ราคาบิทคอยน์ผันผวนมาก ก็เพราะมันอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “เงินฝืดรุนแรง” จากปริมาณที่มีอยู่น้อย นี่แหละ ทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วและขึ้นลงหวือหวา
จึงต้องจับตาดูกันต่อไป ว่าสักวันจะมีปัจจัยมาทำให้ราคาบิทคอยน์ลดฮวบลงมาหรือเปล่า? และอนาคตของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไร? จะมีวันที่มันพัฒนาขึ้นมาเป็นอัตราแลกเปลี่ยนมาตรฐานของโลกหรือไม่
แม้จะไม่มีใครชี้ชัดได้ในเวลานี้ แต่เชื่อว่าคำตอบนั้นคงมาถึงในอีกไม่
-
คุยได้ยินคำว่าชุด บิดคอยอยู่ครับ
ที่รู้มาต้องลงทุนประกอบคอมใชฉะเพาะ กำลังแรง และก๊าดจอต้องดี 4 ตัว ตัวละหมือกว่าบาท
สรุปชุดหนึ่ง แสนกว่าบาท
ผลตอบแทนวันละ 300 - 1000 บาทผมมองว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ได้น้อยลงทุนเยอะ ไม่ใช่ทางนักเทรดแน่ ๆ นักเทรดต้องลงทุนน้อย กำไรมาก ๆ นิใช่เลย
-
สกุลเงินดิจิตอล ในตอนนี้ ออกมายิ่งกว่าดอกเห็ดบานหน้าฝนอีกครับ จะลงทุนก็ต้องศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจเยอะ ๆ หน่อยครับ ตลาดมันมีดีมานด์ ซัฟพลาย ที่ลวงตาอยู่เยอะเหมือนกัน ไม่เหมือนตลาดฟอเร็ก พูดง่าย ๆ ตลาดมันยังคงมีกระแสการปั่นราคาอยู่ค่อนข้างสูงนะครับ ระวัง ๆ หน่อยถ้าจะเข้าไปเล่นครับ Cat1.gif
-
pig.gif pig.gif pig.gif ผมไม่เล่นเลย ยังใหม่อยู่
-
บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติละตินอเมริกันนาม Ripio (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า BitPagos) เปิดระดมทุนผ่าน Initial Coin Offerings (ICO) สำหรับเครือข่ายให้ท่าน้ยืมเงินทั่วโลก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
บริษัทดังกล่าวที่ก่อนหน้านี้เปิดให้บริการด้านการเงินและเหรียญ cryptocurrency ตั้งแต่ปี 2013, เปิดบริการด้านเครดิต blockchain เมื่อปลายปีที่แล้ว และได้เข้ารอบไฟนอลในงาน TechCrunch Distrupt ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดย Ripio นั้นได้ดึงดูดนักลงทุน venture capital ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tim Draper, Pantera Capital และ Medici Ventures ของ Overstock
โดยในตอนนี้ บริษัทสตาร์ทอัพดังกล่าวมีแผนการที่จะยกระดับความโปร่งใสให้กับตลาดการยืมเงินทั่วโลกผ่านการเปิดตัว Ripio Credit Network (RCN) โดยจุดมุ่งหมายของ RCN นั้นก็เพื่อทำให้ขั้นตอนการยืมเงินด้วยเครดิตมีความเป็นกลางมากขึ้น กล่าวคือจะตัดปัญหาเรื่องพรหมแดนระหว่างประเทศและอุปสรรคทางราชการออกไป ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ระบบการเงินและการธนาคารปัจจุบันกำลังใช้อยู่
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
“ด้วยประสบการณ์ทางด้านการเงินที่สั่งสมมานาน Ripio Credit Network เล็งที่จะสร้างเครือข่ายระดับโลกที่มีความเป็น decentralized และน่าเชื่อถือ ที่จะสามารถทำให้ไอเดียและโปรเจคต่างๆทั่วโลกสามารถเป็นจริงได้” กล่าวโดยนาย Sebastian Serrano หรือ CEO และผู้ก่อตั้งของ Ripio International
RCN นั้นจะหยิบเอา smart contract ของ Ethereum มาใช้สร้างแพลทฟอร์มแบบ decentralized ที่ผู้ให้ท่าน้และผู้ท่าน้สามารถเชื่อมต่อกันในรูปแบบ ‘trustless’ หรือไม่จำเป็นต้องมีความไว้วางใจกัน เนื่องจากว่าธุรกรรมนั้นจะไม่ได้ทำผ่านระบบธนาคาร ซึ่ง Ripio หวังว่าค่าธรรมเนียมในการบริหารนั้นจะลดลงไปอย่างมาก และจะส่งผลทำให้ผู้ท่าน้สามารถที่จะยืมเงินในอัตราดอกเบี่ยที่ต่ำมากกว่าธนาคารในปัจจุบัน
สิ่งที่ทำให้ RCN มีความแตกต่างจากระบบแพลทฟอร์มยืมเงินแบบ P2P อื่นๆนั้นก็คือ ‘co-signing agents’ โดยอ้างอิงจาก Ripio นั้น เทคโนโลยีดังกล่าวจะลดความเสี่ยงของผู้ให้ท่าน้โดยการจัดการหนี้ของผู้ท่าน้ในประเทศของผู้ท่าน้ และจะมีการเก็บหนี้ในกรณีผิดนัด
โดยอ้างอิงจากโรดแมปของ RCN นั้น ระบบเครือข่ายดังกล่าวจะถูกเปิดตัวในเดือนเมษายนปีหน้า โดยบริษัทดังกล่าวกำลังทยอยปล่อยเหรียญ RCN หรือสกุลเงินดิจิตอลหลักของแพลทฟอร์มดังกล่าวผ่านการระดมทุน ICO ที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทดังกล่าวก็ได้้เริ่มเปิดขาย pre-sale มาแล้วตั้งแต่วันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา
-
สื่อท้องถิ่นในจีนนาม Jinse.com ได้ออกมารายงานว่ากฎหมายว่าด้วยการใช้สกุลเงินเสมือนจริง (virtual currencies) ในประเทศจีนนั้นจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 2017 ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ โดยทาง Jinse ได้รายงานต่อว่ากฎหมายด้าน cryptocurrency นั้นได้ถูกนำมารวมกับ “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่ได้ผ่านการเห็นชอบในที่ประชุมเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
สกุลเงินเสมือนจริงนั้นจะถูกตราว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ในวันที่ 1 ตุลาคม
Jinse รายงานว่า “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่จะถูกบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมายด้าน cryptocurrency เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยรายงานยังกล่าวว่าเหรียญเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ภายใต้กฎหมายจีน ศาสตราจารย์ Deng Jianpeng ของวิทยาลัยการศึกษาแห่งหนึ่งกล่าวว่า “Bitcoin, [crypto]currency, และอื่นๆนั้นจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสมือนจริงด้วย”
การนำเอากฎหมายด้านสกุลเงินเหมือนจริงมาใช้ใน “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” สามารถบ่งชี้ได้ว่าการกวาดล้างเว็บเทรดเหรียญคริปโตในประเทศจีนก่อนหน้านี้จะไม่ถือเป็นการสั่งห้ามการใช้งานสกุลเงินดังกล่าวทั่วประเทศ โดยสำนักข่าว Jinse ยังได้เผยให้เห็นว่า “ทางผู้ออกกฎหมายในจีนนั้นไม่เคยกล่าวถึงการห้ามใช้ Bitcoin มาก่อน ซึ่งหมายความว่าทางรัฐบาลไม่คิดว่า Bitcoin นั้นถือเป็นปัญหาในตัวมันเอง”
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
Jinse รายงานเพิ่มว่าการกวาดล้างเว็บกระดานซื้อขายนั้นมีที่มาจาก “แพลทฟอร์มเทรดเหรียญบางเว็บไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายป้องกันการฟอกเงิน และทำ KYC อย่างจริงจัง” ที่สำคัญ ยังมีรายงานต่อว่าเว็บเทรดเหรียญคริปโตใหญ่ๆในจีนนั้นจะสามารถเปิดให้บริการต่อได้หลังจากที่ธนาคารกลางเข้าสืบสวนแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าการสั่งปิดเว็บเทรดเมื่อไม่นานมานี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว และไม่ควรที่จะมองว่าเป็นการสั่งห้ามใช้เหรียญ cryptocurrency ทั้งหมด
เว็บเทรดเหรียญ Bitcoin จะยังเปิดให้บริการหลังจากกฎหมายถูกบังคับใช้แล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานว่าทางรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศแบนการระดมทุนแบบ ICO และยังสั่งปิดเว็บผู้ให้บริการการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในประเทศอีกด้วย ซึ่งเว็บเทรดทุกๆเว็บในประเทศจีนนั้นจะต้องปิดตัวลงก่อนวันที่ 1 ตุลาคมนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเว็บ OkCoin และ Huoni นั้นจะสามารถเปิดให้บริการได้ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม
ในสัปดาห์นี้ หนึ่งในเว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในจีนได้หยุดให้บริการฝากเงินหยวนและ cryptocurrency แล้ว แม้ว่าเว็บดังกล่าวจะหยุดให้บริการในวันนี้วันสุดท้าย แต่พวกเขากล่าวว่าจะยังเปิดให้บริการถอนเงินไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2017 หลายๆคนออกมาวิเคราะห์ว่าการที่เว็บสองเว็บ OKCoin และ Huobi ยังคงเปิดให้บริการเทรดได้ตามปกติจนกระทั่งสิ้นเดือนตุลาคมนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าทางรัฐบาลต้องการจะให้พวกเขาเปิดให้บริการต่อไปในอนาคตก็อาจจะเป็นได้
-
ญี่ปุ่นมีใบอนุญาตให้ตัวแทนขายเหรียญดิจิทัลอย่างเป็นทางการแล้ว!
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนหรือเกาหลีใต้ประกาศระงับไม่ให้มีการทำธุรกรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลแต่ตรงกันข้ามกับญี่ปุ่นเมื่อ FSA ของญี่ปุ่นอนุมัติให้ 11 บริษัทสามารถทำธุรกรรมซื้อขายเหรียญดิจิทัลได้อย่างเป็นทางการ
ที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลอยู่แล้ว แต่การรองรับอย่างเป็นทางการจาก FSA เป็นไปเพื่อความต้องการที่กลบข้อเสียที่อยู่ในมุมมืดของสกุลเงินดิจิทัลเช่น การฟอกเงิน ในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้การรองรับจาก FSA จะช่วยสร้างเสถียรภาพและพัฒนานวัตกรรมของสกุลเงินดิจิทัลไปพร้อม ๆ กันได้
FSA กล่าวว่า “พวกเราหวังว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้จะก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการที่จะปกป้องนักลงทุนกับความต้องการสนับสนุนนวัตกรรม FinTech”
เพื่อที่จะให้ได้การรับรองจาก FSA เจ้าของบริษัทจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดจาก FSA อย่างเคร่งครัดเช่น มีระบบคอมพิวเตอร์รองรับที่แข็งแกร่งและมีข้อมูลหมายเลขบัญชีและการแยกประเภทของบัญชีของลูกค้าที่ชัดเจน
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ด้วยนโยบายนี้ของญี่ปุ่นที่มีต่อสกุลเงินดิจิทัลจะทำให้ญี่ปุ่นในอนาคตกลายเป็นประเทศแนวหน้าสำหรับเรื่องคริปโตเคอเรนซี่ ช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้ (ญี่ปุ่นมีนโยบายทดลองให้บริษัท exchange รับแลกเงินดิจิทัลผ่านการดูแลของ FSA ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2017- เมษายน 2018) รัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องได้ข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับกฏหมายที่จะมีการประกาศในเดือนเมษายนปี 2018 อย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปปี 2014 ญี่ปุ่นเคยเผชิญหน้ากับคดีทางการเงินอย่าง Mt.Gox Scandal มาแล้ว ในคดีนั้นเจ้าของธุรกิจนาย Mark Karpeles เคยทำธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเหรียญบิทคอยท์ซึ่งมีจำนวนเงินมากถึง $480 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะตัดสินใจยุติกิจการลงแล้วหายตัวเข้ากลีบเมฆไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดคดีเกี่ยวกับการทุจริตทางการเงินเช่นนี้อีก ญี่ปุ่นจึงต้องหาทางออกอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด
นอกจาก 11 บริษัทที่ได้รับการอนุมัติจาก FSA แล้วขณะนี้มี 17 บริษัทที่กำลังได้รับการตรวจสอบและคาดว่ามีคุณสมบัติเพียงพอจะสามารถอนุมัติโดย FSA ได้
-
สื่อท้องถิ่นในจีนนาม Jinse.com ได้ออกมารายงานว่ากฎหมายว่าด้วยการใช้สกุลเงินเสมือนจริง (virtual currencies) ในประเทศจีนนั้นจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 2017 ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ โดยทาง Jinse ได้รายงานต่อว่ากฎหมายด้าน cryptocurrency นั้นได้ถูกนำมารวมกับ “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่ได้ผ่านการเห็นชอบในที่ประชุมเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
สกุลเงินเสมือนจริงนั้นจะถูกตราว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ในวันที่ 1 ตุลาคม
Jinse รายงานว่า “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่จะถูกบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมายด้าน cryptocurrency เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยรายงานยังกล่าวว่าเหรียญเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์เสมือนจริง” ภายใต้กฎหมายจีน ศาสตราจารย์ Deng Jianpeng ของวิทยาลัยการศึกษาแห่งหนึ่งกล่าวว่า “Bitcoin, [crypto]currency, และอื่นๆนั้นจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสมือนจริงด้วย”
การนำเอากฎหมายด้านสกุลเงินเหมือนจริงมาใช้ใน “กฎหมาย แพ่งทั่วไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน” สามารถบ่งชี้ได้ว่าการกวาดล้างเว็บเทรดเหรียญคริปโตในประเทศจีนก่อนหน้านี้จะไม่ถือเป็นการสั่งห้ามการใช้งานสกุลเงินดังกล่าวทั่วประเทศ โดยสำนักข่าว Jinse ยังได้เผยให้เห็นว่า “ทางผู้ออกกฎหมายในจีนนั้นไม่เคยกล่าวถึงการห้ามใช้ Bitcoin มาก่อน ซึ่งหมายความว่าทางรัฐบาลไม่คิดว่า Bitcoin นั้นถือเป็นปัญหาในตัวมันเอง”
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
Jinse รายงานเพิ่มว่าการกวาดล้างเว็บกระดานซื้อขายนั้นมีที่มาจาก “แพลทฟอร์มเทรดเหรียญบางเว็บไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายป้องกันการฟอกเงิน และทำ KYC อย่างจริงจัง” ที่สำคัญ ยังมีรายงานต่อว่าเว็บเทรดเหรียญคริปโตใหญ่ๆในจีนนั้นจะสามารถเปิดให้บริการต่อได้หลังจากที่ธนาคารกลางเข้าสืบสวนแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าการสั่งปิดเว็บเทรดเมื่อไม่นานมานี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว และไม่ควรที่จะมองว่าเป็นการสั่งห้ามใช้เหรียญ cryptocurrency ทั้งหมด
เว็บเทรดเหรียญ Bitcoin จะยังเปิดให้บริการหลังจากกฎหมายถูกบังคับใช้แล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานว่าทางรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศแบนการระดมทุนแบบ ICO และยังสั่งปิดเว็บผู้ให้บริการการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในประเทศอีกด้วย ซึ่งเว็บเทรดทุกๆเว็บในประเทศจีนนั้นจะต้องปิดตัวลงก่อนวันที่ 1 ตุลาคมนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเว็บ OkCoin และ Huoni นั้นจะสามารถเปิดให้บริการได้ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม
ในสัปดาห์นี้ หนึ่งในเว็บผู้ให้บริการซื้อขาย Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในจีนได้หยุดให้บริการฝากเงินหยวนและ cryptocurrency แล้ว แม้ว่าเว็บดังกล่าวจะหยุดให้บริการในวันนี้วันสุดท้าย แต่พวกเขากล่าวว่าจะยังเปิดให้บริการถอนเงินไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2017 หลายๆคนออกมาวิเคราะห์ว่าการที่เว็บสองเว็บ OKCoin และ Huobi ยังคงเปิดให้บริการเทรดได้ตามปกติจนกระทั่งสิ้นเดือนตุลาคมนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าทางรัฐบาลต้องการจะให้พวกเขาเปิดให้บริการต่อไปในอนาคตก็อาจจะเป็นได้
-
ขอบคุณครับ ทางการจีนถือว่าเป็นอีกประเทศที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วต่อความเคลื่อนไหวของสกุลเงินติจิตอล หันมองไทย ยังพายเรืออยู่ในอ่างยังไม่ออกจากอ่างเลย Cat1.gif
-
การซื้อขาย Bitcoin พร้อมให้บริการแล้ว
เรียนหุ้นส่วนทุกท่าน
เรามีความตื่นเต้นที่จะประกาศให้ทราบถึงการเปิดตัวการซื้อขาย BTCUSD ที่ Exness โดยลูกค้าจะสามารถซื้อขายเงินดิจิตอลได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์ม MT4
เรามีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอเงื่อนไขการซื้อขายที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมการซื้อขาย Bitcoin ได้แก่สเปรดที่ต่ำเป็นพิเศษระหว่าง 2–4 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับบัญชี Classic และ 4–7 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับบัญชี Mini เลเวอรเรจที่สูง การซื้อขายช่วงวันสุดสัปดาห์ และการเสนอราคา Bitcoin ที่ดีที่สุดในตลาดจากกลุ่มผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน Bitcoin ระดับชั้นนำ
เงื่อนไขเหล่านี้จะได้รับการปรับปรุงเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้พร้อมกับเลเวอเรจที่เพิ่มไปที่ระดับ 1:20 ในหลายสัปดาห์ต่อจากนี้ไป และไปอยู่ที่ระดับ 1:50 หลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายน และกรอบเวลาการรักษาสภาพ- จะเริ่มลดลงอีกสองชั่วโมง จากปัจจุบันอยู่ที่ระหว่างช่วงเวลา 7–11 am GMT ของวันเสาร์และวันอาทิตย์ จะเปลี่ยนช่วงเวลาการรักษาสภาพเป็น 7–9 am GMT ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ นอกจากนี้ สำหรับการเทรด BTCUSD หุ้นส่วนของเรายังสามารถได้รับรางวัลตามเงื่อนไขของหุ้นส่วนเช่นเดียวกับการซื้อขายตราสารรายการอื่นๆ ของเรา
คุณสามารถดูคำอธิบายอย่างละเอียดของชื่อย่อการซื้อขายนี้ได้จากหน้ากำหนดเฉพาะของสัญญาของเรา และดูใน MT4 ของคุณโดยการเปิดใช้งานการซื้อขาย BTCUSD ซึ่งอยู่ในโฟลเดอร์ Crypto (เงินดิจิตอล) ของเมนู Symbols (ชื่อย่อ)
เงื่อนไขการซื้อขาย Bitcoin ที่ยอดเยี่ยมของเรามอบสิ่งที่คุ้มค่าต่อการรอคอย และเราสามารถรับประกันกับคุณได้ว่าเงื่อนไขเหล่านั้นจะมีการปรับปรุงที่ดียิ่งขึ้นไปอีกแน่นอน
*ในระหว่างช่วงเวลาการรักษาสภาพ การเสนอราคาจะไม่ถูกอัพเดทและสถานะอาจเป็นได้ทั้งสถานะที่เปิดอยู่หรือสถานะที่ปิดแล้ว
-
ขอบคุณครับ เริ่มเยอะหลายโบรกล่ะ ทางเลือกใหม่ ๆ Cat1.gif
-
สำนักข่าวแห่งชาติรัสเซีย TASS รายงานว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จัดประชุมเกี่ยวกับเงิน cryptocurrency เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีนี้ในอุตสาหกรรมการเงิน
ปูตินกล่าวชม cryptocurrency ว่าจะเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจอีกมาก ตอนนี้มันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และกำลังจะกลายเป็นบริการจ่ายเงิน-การลงทุนเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า cryptocurrency ก็มีความเสี่ยงที่น่ากลัว (serious risks) โดยเฉพาะการฟอกเงิน การเลี่ยงภาษี การสนับสนุนการก่อการร้าย และการฉ้อโกงที่ประชาชนอาจกลายเป็นเหยื่อ
ปูตินยังบอกว่ารัสเซียต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลในเรื่องนี้ โดยต้องคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ อีกทั้งเป็นกรอบกฎหมายให้กับบริการทางการเงินแบบใหม่ๆ ด้วย
-
ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลก Goldman Sachs กำลังพิจารณาเปิดตัวทีมในองค์กรสำหรับเทรด Bitcoin โดยเฉพาะ
Goldman Sachs สนใจเทรด Bitcoin
โดยอ้างอิงจากรายงานของ Wall Street Journal นั้น ทาง Goldman Sachs กำลังอยู่ในช่วงแรกของการวางแผนนำตัวเองเข้าไปสู่ตลาดของ Cryptocurrency ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่อาจจะทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่แห่ง Wall Street แห่งนี้เป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาด Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่นๆได้
รายงานยังได้กล่าวว่าทางธนาคารนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นมันอาจจะมีความเป็นไม่ได้ว่าข้อเสนอดังกล่าวอาจจะถูกโยนทิ้งก่อนที่จะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของ Goldman ก็ให้สัมภาษณ์กับ WSJ ว่าลูกค้าของพวกเขาเริ่มให้ความสนใจใน cryptocurrency แล้ว แล้วพวกเขาก็กำลังหาวิธีช่วยต่อเติมความต้องการให้ลูกค้าของพวกเขา
“เมื่อลูกค้าของเรากำลังสนใจสกุลเงินดิจิตอล เราจึงต้องหาวิธีช่วยพวกเขาในด้านนี้”
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
เธอกล่าว
นอกเหนือจากความสนใจของลูกค้าแล้ว ทาง Goldman Sachs กำลังมองหาวิธีที่จะสร้างกำไรจากการความผันผวนของราคาและโวลลุ่มในตลาด cryptocurrency ด้วย เนื่องจากว่าตลาดอื่นๆนั้นความผันผวนยังมีน้อย รายได้จากทีมนักเทรดของทาง Goldman Sachs จึงกำลังมีปัญหา แม้ว่าการขึ้นลงของราคาในตลาดเหรียญคริปโตจะไม่ต่างกับรถไฟเหาะจะทำให้นักเทรดหลายๆคนกลัวจนไม่กล้าแตะมันเลยนั้น แต่นักเทรดมืออาชีพมองวานี่คือโอกาสในการสร้างกำไรมหาศาล
ในขณะที่สภาพคล่องนั้นก็เคยเป็นปัญหาที่ทำให้สถาบันการลงทุนมองข้ามตลาดเหรียญคริปโตไป แต่ในปัจจุบันปี 2017 นี้โวลลุ่มการซื้อขายรายวันของ Bitcoin นั้นเกือบจะเทียบเท่าหุ้นของ Caterpillar แล้ว และมูลค่าการซื้อขายรายวันของเหรียญทุกๆเหรียญก็เคยมีคนคาดว่าจะแซงหุ้นของ Apple ในอนาคต
-

เทรดกับ Exness ได้แล้ว .gif)
-
บริษัทหนึ่งในเมือง Maryland ที่ให้บริการด้านการซื้อขายกองทุน (ETF) ได้ยื่นขออนุมัติผลิตภัณฑ์ด้านกองทุนฟิวเจอร์ Bitcoin ไปแล้ว
โดยอ้างอิงจาก Form S-1 ของวันที่ 27 กันยายน บริษัท ProShares Capital Management ต้องการที่จะสร้างผลิตภัณฑ์กองทุนออกมาสองตัว ซึ่งก็คือ ProShares Bitcoin ETF และ ProShares Short Bitcoin ETF ซึ่งก็เหมือนๆกับกองทุน ETF ตัวอื่นๆที่เคยมีมาให้เห็นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดย PRoShares นั้นจะไม่ซื้อ cryptocurrency โดยตรง แต่จะเป็นการให้นักลงทุนได้เข้าถึงตลาดคริปโตผ่านสัญญาอนุพันธ์
ในฟอร์มดังกล่าวได้เผยให้เห็นว่าทาง ProShares มีแผนการตั้งราคาเสนอขายสูงสุดรวม 1 ล้านดอลลาร์ โดยจะมีราคาอยู่ที่ 25 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยพวกเขายังต้องการที่จะลิสผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นบนตลาดแลกเปลี่ยน NYSE Arca ด้วย
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
เนื้อหาในฟอร์มยังได้พูดถึงตลาดอนุพันธ์ Bitcoin ในประเทศสหรัฐฯที่ยังใหม่อยู่
“สัญญา Bitcoin ฟิวเจอร์นั้นเพิ่งจะถูกลิสเพื่อซื้อขาย และมันมีประวัติการซื้อขายที่น้อยมาก ดังนั้นจึงไม่มีการการันตีว่าจะมีการซื้อขายสัญญา Bitcoin ฟิวเจอรกันมากมายหรือไม่” อ้างอิงจากบริษัท
แต่กระนั้น เวลาก็จะเป็นตัวกำหนดเองว่าตลาดกองทุน Bitcoin นั้นจะเกิดขึ้นมาเพื่อตั้งอยู่หรือไม่
ก่อนหน้านี้มีบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง LedgerX และผู้ให้บริการด้านการซื้อขายออพชันอย่าง CBOE เริ่มที่จะหันมาลงทันสร้างผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุน Bitcoin แล้ว รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีสองพี่น้อง Winklevoss หรือเจ้าของเว็บซื้อขาย Gemini ที่เคยยื่นขออนุญาต SEC เปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF แต่ก็ถูกปฏิเสธไป
-
(https://imgza.xyz/f/7xqlu139) (https://imgza.xyz/v/7xqlu139)
ไม่ นาน คง ทะลุ 6000 แน่ 018.gif 018.gif mm27 mm27
-
ไม่กี่วันก็ได้อ่านข่าวเจอว่า นักเศรษฐศาสตร์อเมริกาคนหนึ่งออกมาบอกว่า ราคาอาจจะไปถึง 10,000$ ภายในปีหน้า... หากทาง Goldman Sachs เข้ามาเล่นตลาดนี้ด้วยแบบนี้ละก็..แล้วหากทำได้แล้วเกิดขึ้นจริง ๆ ก็จะมีธนาคารยักษ์ใหญ่อื่น ๆ โดดลงมาแย่งส่วนแบ่งด้วยแน่ ๆ แล้วราคา 10,000$ ต่อเหรียญก็จะไม่ใช่เรื่องเกินฝันเลย
ส่วนทางบ้านเราคนทั่ว ๆ ไปยังมองเป็นด้านลบอยู่เลย บอกว่าเป็นแชร์ลูกโซ่บ้าง... แต่นั่นก็เป็นแค่คนทั่ว ๆ ไปมอง แต่สำหรับนักลงทุนเขาจะมองที่โอกาสในการทำกำไรต่างหาก เพราะเขาบริหารความเสี่ยงเป็นหลักอยู่แล้ว... ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างปลอดภัยน๊ะสำหรับเงินดิจิตอลชัดเจนด้วย... m:16
-
m:4 ขึ้นน่า กลัว มาก ถ้าใครเทรด คง "ล้างไปหลายรอบ" ขึ้น-ลง -วูปวาป เหลือเกิ๊น ไม่รู้อะไรเป็นเกณฑ์ กำหนดค่า "เป็น คู่เงินที่ น่ากลัว" ไม่รวย ก็ จน สำหรับคู่นี้ BTC/๊USD mm27
-
m:4 ขึ้นน่า กลัว มาก ถ้าใครเทรด คง "ล้างไปหลายรอบ" ขึ้น-ลง -วูปวาป เหลือเกิ๊น ไม่รู้อะไรเป็นเกณฑ์ กำหนดค่า "เป็น คู่เงินที่ น่ากลัว" ไม่รวย ก็ จน สำหรับคู่นี้ BTC/๊USD mm27
ผมก็ยังงง ๆ อยู่เลยว่ามันเอาปัจจัยตัวไหนเป็นแรงส่งให้มันขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่เท่าที่สังเกตุน๊ะ พอ USD ขึ้นมันนนน...ก็ขึ้น USD ลง...มันนนนก็ขึ้น.... ส่วนเท่าที่เห็นน่าจะเป็นกระแส.. และก็การที่บริษัททางการเงิน และประเทศบางประเทศออกผลตอบรับว่า " ยอมรับหรือไม่ยอมรับในตัว BitCoin อย่างคราวก่อนที่ราคาพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดแถว ๆ 4,800$ แล้วโดนทุบลงไปแถว ๆ 3,000 $ ดูเหมือนว่าตอนนั้นมีข่าวจากทางฝั่งประเทศจีนออกมาเตือน แนว ๆ ไม่สนับสนุนน๊ะ เลยรูดลงเยอะเลยทีเดียว จากนั้นก็ไต่ระดับขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ จนสูงอีกครั้ง (นิวไฮน์) แถว ๆ 5,800$ เลยหลังจากศาสตราจารย์คนนั้นออกมาพูดถึงอนาคตว่าภายในปีหน้าอาจได้เห็น 10,000$
เสียดายผมไม่มีด้วยเค้าซักกะเหรียญ แต่มีแค่เหรียญ AdCash แค่ 100 เหรียญเก็บไว้เล่น ๆ จากที่ได้ฟรี ๆ มา ดูเหมือนว่าราคาขยับขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน em2.gif
-
ตัวตลาดราคามันยังแคบอยู่อ่ะครับ วอลลุ่มส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือนายทุนหลัก ๆ ของกลุ่มเหมืองขนาดยักษ์ที่เป็นตัวขับดันของค่าเงิน ลองเข้าไปดูระดับการซื้อขายจากเวปหลัก ๆ ได้ครับ ตอนนี้กำลังจะแยกออกมาอีกตัวล่ะ ครั้งก่อนแยกจากบิทคอยน์(btc) เพิ่มเป็น บิทคอยน์แคส (bch) ตอนนี้กำลังจะแยกออกมาเป็นอีกตัว บิทคอยน์โกลด์ (btg) เดี๋ยวนี้ไม่ได้เก็บล่ะ ขายใช้หนี้ไปหมดล่ะ หาของฟรีเก็บสะสมไปเรื่อย ๆ AT9.gif AT9.gif AT9.gif
เวปที่มีการซื้อขายบิทคอยน์
https://bx.in.th/
https://coins.co.th/th/
https://yobit.net/
https://poloniex.com/
https://www.bitfinex.com/
ข้อมูลการแยกเหรียญของบิทคอยน์ คุณคลิกตังค์พูดได้ดีมาก ๆ
https://www.youtube.com/watch?v=jyATvC0oHfk
-
(http://upic.me/i/qc/0000000000000000.0.jpg)
กลับ มา ทะลุ 6000 อีกครั้ง
-
บิตคอยน์ทำนิวไฮพุ่งทะลุ 6,400 ดอลลาร์ หลัง CME เตรียมเปิดตัวสัญญาฟิวเจอร์สสิ้นปีนี้
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 1 Nov 2017 1:25
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 60)--บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 6,400 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากที่ Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ทางตลาดมีแผนที่จะเปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ภายในสิ้นปีนี้ หากได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ควบคุมกฎระเบียบ
"เมื่อพิจารณาจากความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้าต่อสกุลเงินดิจิทัล เราจึงตัดสินใจที่จะเปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์" นายเทอร์รี ดัฟฟี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CME Group ระบุในแถลงการณ์
หากบิตคอยน์ได้รับการยอมรับในฐานะตราสารอนุพันธ์ ก็จะถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในพัฒนาการของบิตคอยน์ในการเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาบิตคอยน์จะมีการชำระบัญชีด้วยเงินสด และอิงราคาตาม CME CF Bitcoin Reference Rate (BRR) ซึ่ง CME ได้เปิดตัวในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
-
ยังขึ้นต่ออีก จะขึ้นไปถึงไหนเนีย


-
(http://upic.me/i/iw/0000000000000000.0.jpg)
จะ ลาก กัน ไป ถึง ดาว อังคารใช่ไหม เนี่ย ... m:7 m:7
-
ซื้อมั้ย? วานูอาตู เปิดให้ซื้อสัญชาติด้วย Bitcoin แล้ว // น้าเช
วานูอาตู ประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียประกาศรับการซื้อสัญชาติด้วย Bitcoin แล้ว
วานูอาตูเป็นประเทศที่มีพาสปอร์ตทรงอิทธิพลเป็นอันดับที่ 34 ของโลก นั่นหมายความว่าเมื่อเราซื้อสัญชาตินี้ไป เราจะเข้าประเทศต่าง ๆ ได้ 125 ประเทศทั่วโลกโดยที่ไม่ต้องใช้วีซ่า (ในขณะที่ไทยอยู่อันดับที่ 52)
ค่าใช้จ่ายในการซื้อสัญชาติของวานูอาตูอยู่ที่ 280,000 ดอลลาร์ หรือแปลงเป็น Bitcoin จะอยู่ที่ประมาณ 40 BTC
พร้อมกันนี้ผู้ดูแลโปรแกรมนี้ของรัฐบาลได้บอกว่าพวกเขาต้องการให้คนเปลี่ยนผลตอบแทนที่พวกเขาได้จาก Bitcoin ไปสู่สิ่งที่มีมูลค่ายิ่งกว่า นั่นคือการได้สัญชาติวานูอาตู
หลัง ๆ มานี้มีหลายประเทศตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น มีทั้งการ ICO การใช้ Bitcoin ซื้อของต่าง ๆ ก็มากขึ้น
Bitcoin นี่เกิดมา disrupt โลกจริง ๆ
-



-
หลุด 6000 แล้ว ขา ช้อน เตรียม ตัว 018.gif 018.gif mm27 mm27
-
(http://upic.me/i/1e/0000000.2.jpg)
ทะลุ 10000 แล้ว 013.gif 013.gif
-
เมื่อคืนทำไฮสูงสุดไปแล้วครับ ตอนนีั้มีเท่าไหร่ขุดมาขายอย่าได้ช้า Cat1.gif
-
ME Group ตลาดตราสารอนุพันธ์ชั้นนำระดับโลกได้ออกมาประกาศและยืนยันด้วยตนเองว่าจะทำการเปิดให้ซื้อ-ขายสัญญา Bitcoin Futures ในวันที่ 18 ธันวาคมที่จะถึงนี้!
โดยทาง CME Group นั้นยินดีที่จะนำ Bitcoin Futures เข้าสู่ตลาดหลังจากที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทาง CFTC (Commodity Futures Trading Commission) เพื่อที่จะร่วมกันออกแบบกฎระเบียบควบคุมด้านความโปร่งใส ด้านราคาและด้านความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน
ซึ่งนาย Terry Duffy ประธาน CME Group และผู้บริหารได้กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าทาง CME Group นั้นได้ร่วมมือกับทาง CFTC มาอย่างยาวนานเพื่อทำให้เป้าหมายดังกล่าวสำเร็จ แต่ทางเรานั้นก็ตระหนักว่า Bitcoin นั้นเป็นตลาดใหม่ๆที่ไม่อาจคาดเดาความเติบโตได้ ซึ่งในส่วนนี้ทางเราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการและฝั่งลูกค้าของเรา” ซึ่งตลาด Bitcoin Futures นั้นจะอยู่ภายใต้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ 35% และขอบเขตราคาภายในวันนั้นๆ หรือแม้กระทั่งการควบคุมความเสี่ยงและเครดิตอื่นๆ
และสัญญาฉบับใหม่นี้จะได้รับการจดทะเบียนและขึ้นกับกฎของ CME โดยจะเปิดให้ซื้อ-ขายบนแพลตฟอร์ม CME Globex โดยจะมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคมและจะเปิดให้ซื้อ-ขายในวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคมที่จะถึงนี้
โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Bitcoin ของ CME Group นั้นจะถูกชำระส่วนต่างด้วยเงินสดทันที (Cash-Settled) โดยอ้างอิงราคาตาม Bitcoin Reference Rate (BRR) ซึ่งประกาศวันละ 1 ครั้งเพื่ออ้างอิงราคาของ Bitcoin เป็น USD
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2016 ทาง CME Group ก็ได้มีการร่วมมือกับบริษัท Crypto Facilities ในด้านการคำนวณค่าราคา BRR (Bitcoin Reference Rate) จากการรวบรวมราคาซื้อขายปัจจุบันจากตลาดซื้อขาย Bitcoin หลักในช่วงสรุปราคาอ้างอิง ณ เวลา 4 โมงเย็น (เวลาที่ลอนดอน) โดย BRR นั้นถูกออกแบบโดยอิงจากหลักของ IOSCO เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดราคา ซึ่ง Bitstamp, GDAX, Kraken เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและให้ข้อมูลราคาในการคำนวณ BRR
หากท่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ CME Group – Bitcoin Futures
-
ขอบคุณครับ
.gif)
-
เว็บ Bithumb หรือผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ได้รายงานถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของธุรกรรมที่ทำผ่านสกุลเงินเสมือนจริงในปีนี้กว่า 182 เท่า ในช่วงเดือนมกราคมปี 2017 ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ที่ประมาร 276.63 ล้านดอลลาร์ จนกระทั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนตัวเลขดังกล่าวได้กลายเป็น 5.19 หมื่นล้านดอลลาร์ หนังสือพิมพ์ Business Korea ได้รายงานว่าตัวเลขดังกล่าวนี้คิดเป็นประมาณมากกว่า 80% ของ 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์หรือมูลค่าโวลลุ่มโดยเฉลี่ยของธุรกรรมที่ทำบนตลาดหลักทรัพย์ KOSDAQ ในปีนี้
กระนั้นมันก็ยังมีความกังวลว่าความนิยมของตลาดเหรียญคริปโตที่เพิ่มขึ้นนั้นจะเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดโวลลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอย่าง KOSDAQ
จำนวนธุรกรรมบน Bithumb จะแซงของ KOSDAQ ได้หรือไม่
โดยอ้างอิงจาก Bithumb นั้น อัตราธุรกรรมรายเดือนของพวกเขาได้เพิ่มขึ้นในทุกๆเดือน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขของธุรกรรมนั้นยังอยู่ที่ 593.27 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคมนั้นมันได้กลายเป็น 4.68 พันล้านดอลลาร์ และเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้นเป็น 5.45 หมื่นล้านดอลลาร์
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
สำหรับบนตลาด KOSDAQ นั้น จำนวนธุรกรรมรายเดือนกลับลดลงสวนทางในเกือบทุกๆเดือน ในตอนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขนั้นอยู่ที่ 6.39 หมื่นล้านดอลลาร์, และในเดือนพฤษพาคมนี้ มันได้ร่วงลงไปสู่ 5.09 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ว่าในเดือนกรกฎาคมนั้นมันจะอยู่ที่ 5.67 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ในเดือนถัดไปหลังจากนั้นมันก็ร่วงลงไปเหลือ 5.45 หมื่นล้านดอลลาร์
ในวันที่ 19 สิงหาคม 2017 โวลลุ่มการซื้อขายรายวันของเว็บ Bithumb นั้นอยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์ และได้แซงหน้าของตลาด KOSDAQ ในวันเดียวกัน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 2.24 พันล้านดอลลาร์
นาย Suk Tae นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่ง Societe Generale Securities ในประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่ากระแสของสกุลเงินเสมือนจริงนี้ รวมทั้ง Bitcoin ด้วย ถือเป็นหนึ่งในตัวแปรที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหลักทรัพย์ KOSDAQ นาย Suk Tae ยังได้ออกความเห็นส่วนตัว และอธิบายถึงสาเหตุที่นักลงทุนรายย่อยชาวเกาหลีใต้หันไปให้ความสนใจซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในช่วงระยะสั้น
โดยเขากล่าวว่า
“ด้วยการที่มันมีกำแพงไม่กี่ตัวที่กั้นตลาดอยู่ ทำให้ตลาด CRYPTOCURRENCY นั้นได้ห้อมล้อมนักลงทุนมากกว่าตลาด KOSDAQ ทำให้มันกลายเป็นเหมือนกับแม่เหล็กที่คอยดูดนักลงทุนไป”
มันมีอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดเหรียญคริปโตที่น้อยมาก และนักลงทุนไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์เหรียญอย่างจริงจังเท่ากับหุ้น ดังนั้นตลาดเหรียญดิจิตอลนั้นจึงถูกขับเคลื่อนด้วยนักลงทุนรายย่อยมากกว่าของตลาด KOSDAQ
หัวหน้าฝ่ายนักวิจัยจาก KB securities นาม Im Sang-Guk เชื่อว่านักลงทุนเป็นจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาในตลาดเงินเสมือนจริงนี้ ที่ซึ่งมีความผันผวนมากกว่าของตลาดหุ้น อีกทั้งยังสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดอีกด้วย
ด้วยการเติบโตของเว็บ Bithumb และ Coinone หรือสองในเว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งผลทำให้ประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นตลาดซื้อขาย Bitcoin ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ตามหลังตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ในประเทศเกาหลีใต้นั้นมีผู้ที่ลงทะเบียนบนเว็บเทรดเหรียญคริปโตมากกว่า 1 ล้านคน และอัตราการเติบโตที่ว่านี้กำลังทำให้รัฐบาลในประเทศเริ่มกังวลว่ากระแสดังกล่าวนี้จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอิสระจากนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น
การแทรกแซงของรัฐบาล
ปัจจุบันนั้นมีการดีเบตกันว่ากฎหมายที่ร่างโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ล่าสุดนั้นจะมาช่วยชะลอกระแสอันรุนแรงของ cryptocurrency นี้ได้หรือไม่ โดยคาดการณ์ว่าทางการของเกาหลีใต้นั้นอาจจะมีการปรับอัตราภาษีของการซื้อขาย cryptocurrency ให้มากขึ้นไปอีก
ปัจจุบันการทำธุรกรรมซื้อขาย cryptocurrency ผ่านเว็บเทรดในประเทศนั้นจะมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอยู่ นาย Han Seung-hee หรือผู้บริหารของกรมสรรพากรเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาว่าทางรัฐบาลจะมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษี capital gain หรือทั้งสองอย่างในการทำธุรกรรมเหรียญคริปโต โดยทางรัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาประกาศอีกครั้งหนึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2018
Comments
-
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ผมได้เข้าเทรดซื้อ XRP (Ripple) ได้ที่ราคา 15 บาทกว่านิด ๆ ผ่านไป 24 ชม. ผมกขายที่ราคา 28.7 กำไร 80% กว่า ๆ เลย แล้วผมก็ไปเล่นตัวอื่น BTC, DASH, OMG, LTC ก็ได้กำไรไม่ขาดทุนเลย จนล่าสุดผมก็กลับมาซื้อ XRP ใหม่ที่ราคาค่อนข้างสูงหน่อยที่ 25.7 บาท รอมาสองวันละยังไม่ไม่ไปไหนเลย กำลังลุ้นให้มันดีดขึ้น ตามหลาย ๆ ตัวที่ออกไป
ก็สนุกดีครับมันเป็นเหมือนการผสมผสานกันระหว่าง หุ้น กับ ฟอร์แรกซ์ แล้วส่วนกำไรที่ได้ผมก็แบ่งครึ่งของกำไรไปเพิ่มกำลังขุดอีก สนุกไปเลยครับ em2.gif
-
จาก FB ลุงแมวน้ำ
=======================================================
<<< ชัยชนะของลุงตั้ม กฎหมายภาษีผ่านสภา.... แล้วไงต่อ, บิตคอยน์ถล่ม -25% >>>
วันนี้เรามาอัปเดตตลาดประเด็นร้อนกันอีกสักวัน
กฎหมายภาษีของลุงตั้มในที่สุดก็ผ่านสองสภาเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ลุงตั้มเซ็นเห็นชอบ จากนั้นก็ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ ซึ่งกฎหมายนี้จะบังคับใช้ในปีภาษีหน้านี้เลย คือปีภาษี 2018 ที่ลุงตั้มบอกว่าจะให้ของขวัญวันคริสต์มาสแก่คนอเมริกันและเดิมทีคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อกันนั้น ในที่สุดก็ทำได้จริง ถือว่าเป็นผลงานใหญ่ชิ้นแรกในสมัยของลุงตั้ม
ปรากฏว่าตลาดหุ้นสหรัฐแทบไม่ขยับ คือไม่ตอบสนองอะไรเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดคำนวณผลกำไรล่วงหน้าเผื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คือถ้ากฎหมายภาษีผ่าน กำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (forward eps 2018) ของดัชนี S&P 500 จะได้ประมาณ 160 ดอลลาร์/หุ้น ก็รับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้น บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐส่วนใหญ่ไม่ได้เสียภาษีนิติบุคคลเต็ม 35% อยู่แล้ว เพราะมีวิธีบริหารภาษีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น บริษัทแอปเปิล เสียภาษีเฉลี่ยในอัตราประมาณ 26% ท่านเกิลเสียภาษีเฉลี่ยอัตราประมาณ 21% ส่วนไมโครซอฟต์ประมาณ 24% ดังนั้นหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ได้อานิสงส์เพิ่มไม่มาก ที่ได้มากหน่อยเป็นบริษัทขนาดเล็กในตลาดหุ้น เราจึงเห็นดัชนีตลาดหุ้นไม่ค่อยตอบสนองข่าวนี้แล้ว
ทางด้านค่าเงินดอลลาร์ ก็เฉยๆ ไม่ได้ตอบสนองอะไร
แต่ที่น่าสังเกตคือบอนด์ยีลด์ของพันธบัตรอเมริกันตัวยาวตอบสนองต่อข่าว คือเด้งขึ้นทันที ดูในกราฟจะเห็นว่า BY 10 ปี กับ 30 ปีเด้งขึ้นมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะกฎหมายปฏิรูปภาษีนี้จะทำให้ขาดดุลงบประมาณในระยะยาว 10 ปีข้างหน้าถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ ซึ่งตลาดคาดว่ารัฐต้องออกพันธบัตรอีกมากเพื่อเอามาโปะการขาดดุลนี้ ดังนั้นในตลาดพันธบัตรจึงเห็นบอนด์ยีลด์จึงมีการตอบสนองบ้าง นี่ขนาดเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อกลางเดือนธันวาที่ผ่านมา พันธบัตรตัวกลางตัวยาวยังเฉยๆ พอมาข่าวกฎหมายภาษีกลับขยับให้หน่อย
หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ
แนวโน้มบอนด์ยีลด์ตัวกลางและยาวของสหรัฐอาจขยับขึ้นต่อได้อีก เมื่อรวมคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีก 3 สลึงในปีหน้า ดังนั้นคาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะกลางกับยาวของสหรัฐน่าจะขยับขึ้นได้อีก ข้อนี้ทำให้ต้องระวังตลาดหุ้น เพราะดอกเบี้ยขึ้นแปลว่าต้นทุนการเงินสูงขึ้น ตลาดหุ้นกับตลาดอสังหาไม่ชอบอยู่แล้ว
ค่าเงินดอลลาร์ ตอนนี้ทิศทางไม่ชัด เสียงแตกออกเป็นสองทาง คือ ผลจากกฎหมายภาษีใหม่จะทำให้สหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มน่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง แต่เนื่องจากกฎหมายนี้ผ่อนผันให้มีการโอนเงินกำไรของบริษัทอเมริกันจากต่างประเทศกลับเข้ามาในสหรัฐ โดยเสียภาษีการโอนเงินกลับต่ำกว่าปกติ (มีโปรโมชัน) เหลือราวๆ 8-15% ซึ่งถ้ามีการโอนเงินกลับเยอะๆ เงินดอลลาร์จะกลับแข็งค่า
ซึ่งตอนนี้เราไม่ไม่รู้ว่าปัจจัยใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ปัจจัยใดมีน้ำหนักมากกว่า ค่าเงินดอลลาร์ก็จะเอียงไปทางนั้น ต้องรอให้ความจริงพิสูจน์ออกมา
ทีนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง สองสามวันนี้บิตคอยน์ร่วงแบบถล่มทลาย ราวๆ -25% คือราคาไหลจากราวๆ 20,000 ดอลลาร์/บิตคอยน์ ลงไปอยู่ที่ราวๆ 15,000 ดอลลาร์
สาเหตุมาจากบริษัท youbit ซึ่งเป็นเว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินคริปโตชื่อดังของเกาหลีใต้ยื่นขอล้มละลาย เนื่องจากบริษัทถูกแฮกเงินคริปโตไปจำนวนมาก และลูกค้าที่มีบัญชีเงินอยู่กับบริษัท ในเบื้องต้นจะได้รับเงินคืนเพียง 75% ของยอดจริงเท่านั้น ข่าวนี้ป่วนวงการเงินคริปโต แค่ไม่กี่วัน ค่าเงินบิตคอยน์ร่วงระนาวดังที่เห็นในกราฟ ใครซื้อฟิวเจอร์สด้านลองเอาไว้ลองคำนวณดูว่าราคาลงไป -25% ต้องขาดทุนเท่าไร นี่แหละตลาดฟิวเจอร์ส
วันก่อนเราคุยกันว่าเงินคริปโตปลอมไม่ได้ โกงไม่ได้ แอบทำเพิ่มไม่ได้ แล้วทำไมถูกแฮ็กได้ ลุงแมวน้ำทิ้งประเด็นไว้ก่อน วันต่อไปเราจะได้มาคุยกันในบทความชุดเงินคริปโตที่ลุงแมวน้ำกำลังเขียนอยู่คร้าบ
-
ช่วงนี้แวดวง ตลาดเงินตลาดทุนไทย กำลังปฏิวัติกันครั้งใหญ่ จากเทคโนโลยีการเงิน Fintech ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ การรับจ่ายเงินด้วย คิวอาร์โค้ด สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า “กฎหมายฟินเทค” ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการประกอบธุรกิจและการเข้าถึงบริการของประชาชนด้วยเทคโนโลยีทางการเงิน ผ่านการรับฟังความคิดเห็นแล้วอยู่ในช่วงปรับปรุงก่อนเสนอ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะออกใช้ได้กลางปีหน้า
รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มเลยทีเดียว
ประเด็นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจที่สุดก็คือ การอนุญาตให้ “ซื้อขายเงินดิจิทัล” ได้ในประเทศไทย ซึ่ง แบงก์ชาติ เองก็ยังไม่เห็นด้วย แต่ คุณทิพยสุดา เปิดเผยว่า เดือนธันวาคมนี้ ก.ล.ต.จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับแนวทางการดูแล การระดมทุนด้วยวิธีการเสนอขาย “เหรียญดิจิทัล” (ICO-Initial Coin Offering) ให้กับคนทั่วไป เฉพาะไอซีโอที่เข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์
หากผ่านการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ก.ล.ต.ออกกฎเกณฑ์ใช้ได้ทันที ไม่ต้องรอกฎหมายฟินเทค โดย ก.ล.ต.จะกำหนดให้ ICO เข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์อีกประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และกำกับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังไม่ได้กำหนดชื่อเรียก โดยคาดหวังว่าจะสามารถออกกฎเกณฑ์ได้ในไตรมาส 2 ปีหน้า หากทำได้ ไทยจะเป็นรายแรกในอาเซียน ที่มีกระบวนการมารองรับไอซีโอ
ก็ถือเป็น ความกล้าหาญ และ ความก้าวหน้าอย่างสำคัญ ของ ก.ล.ต. เลยทีเดียว เพราะแม้แต่ มหาอำนาจจีน ยังกลัว ICO จนต้องออกกฎห้าม เพราะมีการหลอกลวงกันมาก แต่ คุณทิพยสุดา บอกว่า ไทยยังมีไม่มาก จึงไม่ห้าม แต่ต้องรีบออกกฎเกณฑ์ เพื่อช่วยคัดกรองว่า ข้อเสนอการระดมทุนสมเหตุสมผลหรือไม่
ผมฟังแล้วก็ต้องดำดิ่งเข้าไปในโลกดิจิทัล เพื่อสำรวจ “เงินดิจิทัล” Cryotovurrency ในโลกไซเบอร์ เห็นข้อมูลแล้วก็ต้องร้อง โอ้ มายก๊อด เพราะตัวเลข ณ วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 25560 ในโลกไซเบอร์มีเงินดิจิทัล อยู่ถึง 1,182 สกุล มีมูลค่าตลาด มาร์เก็ตแคปรวมกันมากกว่า 173,626 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 5.7 ล้านล้านบาท
ลองไปดูกันหน่อยนะครับ เงินดิจิทัลท็อปไฟว์ 5 อันดับแรกของโลก
อันดับ 1 Bitcoin ราคา 6,100 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์ มีจำนวนเหรียญหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์กว่า 16.636 ล้าน BTC มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 101,484 ล้านดอลลาร์ ราว 3.348 ล้านล้านบาท
อันดับ 2 Ethereum ราคา 297.91 ดอลลาร์ต่อ 1 ETH มีจำนวนเหรียญหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์กว่า 95.228 ล้าน ETH มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 28,369 ล้านดอลลาร์ ราว 940,000 ล้านบาท
อันดับ 3 Ripple ราคา 0.205 ดอลลาร์ต่อ 1 ริพเพิล มีจำนวนเหรียญหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์กว่า 38,531 ล้าน XRP มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 7,900 ล้านดอลลาร์ ราว 260,000 ล้านบาท
อันดับ 4 Bitcoin Cach เพิ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2017 นี้เอง แยกตัวออกมาจาก Bitcoin ถือเป็น Alternative Coin หรือ เหรียญทางเลือกที่ไม่ใช่บิตคอยน์ แม้จะเป็นเหรียญดิจิทัลใหม่ แต่ราคาซื้อขายวันเสาร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 323.74 ดอลลาร์ ต่อ 1 บิตคอยน์ แคช มีจำนวนเหรียญหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์ 16.7 ล้าน BCH มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 5,400 ล้านดอลลาร์ ราว 179,000 ล้านบาท
อันดับ 5 Litecoin ราคา 58.36 ดอลลาร์ต่อ 1 ไลต์คอยน์ มีเหรียญหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์ 53.47 ล้าน LTC มีมูลค่าตลาด 3,120 ล้านดอลลาร์ ราว 103,000 ล้านบาท
เงินดิจิทัล ก็เหมือน อากาศธาตุ ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่มีราคาเป็นเงินจริง และเจ๊งได้ง่าย มีความเสี่ยงมากกว่า
-
ขอบคุณครับ บิทคอยท์ เด้งลงมาเยอะ
-
สงสัยฟองสบู่จะแตกแล้ว ดิ่งลงเร็วมา ถูกเทขาย
เกาหลีใต้ผู้ถือบิดคอยรายใหญ่ ถูกแฮกเว็บไซค์ ต้องเตรียมตัวประกาศล้มละลาย
น่ากลัวจริง ๆ .gif)
-
ขอบคุณมากครับท่าน... narjant
แต่ข้อมูลราคาของตัว Top 5 ยังคลาดเคลื่อนหรืออาจเก่าไปเยอะละครับ
ตอนนี้ราคาของเหรียญ ล่าสุด เป็นดังนี้ครับ
1) Bitcoin (BTC) หลังจากขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดเมื่อสองสามวันก่อนเกือบ 20,000$ ล่าสุดปรับตัวลงมาวิ่งอยู่ที่ 14,000$-15,000$ ต่อ 1 BTC
2) Ethereum (ETH) ราคาก็ร่วงลงมาอยู่ที่ 643$ หลังจากพุ่งสู่จุดสูงสุดที่ 863$
3) Ripple (XRP) หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1.364$ ล่าสุดอยู่ที่ 0.93$
4) Bitcoin Cach (BCH) หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 4,104$ ล่าสุดอยู่ที่ 2,768$
3) Litecoin (LTC) หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 370$ ล่าสุดอยู่ที่ 259$
ป.ล. (1) เมื่อวานซืน 22/12/2017 ตลาด Crypto Currencies มีหลายตัวที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด จากนั้นไม่นานราคาเกือบทุก ๆ ตัว ดิ่งลงมาอย่างหนัก จนกระทั่งเมื่อวานมีการไต่กลับขึ้นมาจนมาถึงราคาล่าสุดที่ได้กล่าวไปข้างต้น
ป.ล. (2) ช่วงนี้ผมหนีตลาด FX ไปตลาด Crypto มาสองอาทิตย์ละเปลี่ยนบรรยากาศ
em2.gif
-
สงสัยฟองสบู่จะแตกแล้ว ดิ่งลงเร็วมา ถูกเทขาย
</br>เกาหลีใต้ผู้ถือบิดคอยรายใหญ่ ถูกแฮกเว็บไซค์ ต้องเตรียมตัวประกาศล้มละลาย
</br>น่ากลัวจริง ๆ (http://www.webtraderth.com/webboard/Smileys/default/m%20(6).gif)(http://www.webtraderth.com/webboard/Smileys/default/m%20(6).gif)
ไม่ได้เตรียมครับท่านแอ๊ดฯ แต่ประกาศไปแล้วด้วย...ว่าล้มละลาย แต่ใครมีเงินในบัญชีอยู่มันจะคืนให้แค่ 75% จากที่ของเรามีอยู่ แต่ก็ยังดีเน๊าะที่มันคืนให้
-
กลัว ครับ เหวี่ยง แต่ ละ ที m:9 m:9
-
ถอดรหัสการเทรด BITCOIN โดย จูน เทรดเดอร์ หัวใจ ตะวัน
1.สเปรดจะอยู่ที่ 13-30 จุดซึ่งจะมากกว่าค่าเงินพื้นฐาน เช่นถ้าเราเทรดด้วย LOT 0.01 จะติดลบขณะตลาดนิ่งๆไป
เลยทันทีที่ 1.3-3 $ และถ้าใช้ลอท 0.1 หรือ 1 ก็จะขาดทุนที่ 13-30 $ หรือ 130-300 $ ตามลำดับ ดังนั้นท่าน
ที่มีทุนน้อยๆและจะเทรดตัวนี้ถือว่าไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง
2.เนื่องจากเป็นค่าเงินที่เปิดทุกวันไม่มีวันปิดแม้แต่ปีใหม่และเปิดตลอดเวลา (มีหยุดเวลา 14.00) ทำให้นักลงทุนหลาย
ท่านหันมาเทรดในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เพราะเป็นค่าเงินเดียวที่เทรดได้แต่หารู้ไม่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจพฤติกรรมการวิ่งของ
BITCOIN ส่วนใหญ่มักจะขาดทุน
3.พฤติกรรมหลักของ BITCOIN มีดังนี้
3.1 แต่ละแท่งของ 30 นาทีจะมีขนาดตั้งแต่ 50-300 จุด เท่ากับว่าถ้าเข้าผิดทางอย่างน้อยจะขาดทุนที่ 50 จุดขึ้นไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเตรียมรับสภาพกรณีเลือกเทรด BITCOIN
3.2 ระดับราคาของ BITCOIN จะไม่อิงกับค่าเงินใดๆ และที่สำคัญไม่อิงกับเส้นค่าเฉลี่ยมากเท่าไร แต่จะอิงกับระดับเส้น
ราคาเป็นหลัก โดย จะมีแนวรับแนวต้านมักเป็นตัวเลขกลมๆ เช่น 13000 13500 14000 14500 15000
16000 16500 ดังนั้น สมมุติราคาอยู่ที่ 13600 โอกาสที่เทรนจะขึ้นไปหา 14000 14500 จึงมีสูง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งแท่งก่อนหน้าเป็นแท่งสีเขียว แต่ถ้าสมมุติราคาล่าสุดอยู่ที่ 13300 แนวโน้มก็จะมีโอกาสลงมาทดสอบ 12500 ได้
ดังนั้นเส้นราคาเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อจังหวะการเข้าเทรด
3.3แนวรับ-แนวต้านของ BITCOIN จะเป็นโซนราคาที่เกิดจากการคาดการณ์จิตวิทยาตัวเลขเป็นหลัก เช่น ในอดีตมอง
ว่าจะทะลุ 20000 ล่าสุดปรับลงมาที่ 13500 ดังนั้นเมือใดก็ตามที่ราคามาที่ 18000 อีกครั้ง จุดมั่นใจว่าจะทำนิวไฮ 20000
จึงมีสูงการบายจะเกิดที่ 18000 แต่ถ้าราคาล่าสุดอยู่ที่ 11000 เท่ากับว่าใช้เป็นจุดเซลได้เพราะโอกาสหลุด 10000 จะมีสูงนั่นเอง
สรุป BITCOIN เป็นค่าเงินที่มีความผันผวนสูงและในแต่ละวันสามารถวิ่งกว้างได้ 150-500 จุดซึ่งถ้าเทียบกับค่าเงินทั่วไปที่เรา
เทรดกันกว่าจะวิ่ง 150 จุดต้องใช้เวลาหลายวันดังนั้นถ้าเลือกได้ก็เทรดเพียงค่าเงินพื้นฐานก็มากพอ แต่ถ้าต้องการเทรด BITCOIN
ลองนำรหัสเหล่านี้ไปต่อยอดกันดู
==============================================================
ด้วยความปรารถนาดี
จูน เทรดเดอร์ หัวใจ ตะวัน
ผู้นำการเทรด SCALPING ของไทย
-
m:17 m:17 AT4.gif AT4.gif
-
ขอบคุณครับผมปีใหม่แล้ว
.gif)
.gif)
-
ขอบคุณครับ
และ
สวัสดีปีใหม่ทุก ๆ ครับ
จากที่ได้อ่านบทความที่ท่าน narjant โพสไว้ ผมเห็นด้วยมาก ๆ เลยครับ คือมันไม่อิงกับค่าเงินใด ๆ หรือแม้แต่ทองก็ไม่ และผมลองติดตามและสังเกตุการเคลื่อนไหวของราคาก็เป็นไปตามทีโพสบอกไว้ด้วย ก็คือจะมีการตอบสนองตรงแน้วต้านแนวรับทางจิตวิืทยาจริง ๆ เคือตัวเลขลงท้ายด้วย 000 หรือ 500
และที่สังเกตที่พอจะวัดได้อีกทางก็คือ แนวรับต้านของ Fibonacchi ครับ จุดรับสำคัญเมื่อราคาย่อตัวส่วนใหญ่จะมาหยุดบริเวณ 50% กับ 61.8% ของระยะสวิงสูงต่ำล่าสุด แต่ต้องใช้ TF H1 ขึ้นไปน๊ะ ส่วนเหรีญตัวอื่น ๆ ก็คล้ายเช่นกันครับ
em2.gif
-
Tyler และ Cameron Winklevoss รู้จักกันดีในฐานะฝาแฝด Winklevoss ยังเชื่อว่า Bitcoin จะยังคงเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วง 2-3 ทศวรรษถัดไป
มูลค่าตลาด 8 ล้านล้านเหรียญ
ในปี 2012 เมื่อ Facebook ออกไปสู่สาธารณะ ฝาแฝด Winklevoss ได้รับ 45 ล้านเหรียญเป็นค่าชดเชยในการยุติข้อพิพาทจากการผู้ก่อตั้ง facebook อย่าง Mark Zuckerberg แม้ว่าคำแนะนำของทนายความของพวกเขาแนะนำให้รับเงิน 45 ล้านเหรียญแต่สองฝาแฝดเลือกที่จะรับหุ้นในกิจการ facebook ในปี 2013สองฝาแฝดได้รับสมบัติ 300 ล้านเหรียญเนื่องจากมูลค่าหุ้นของ facebook ที่เพิ่มสูงขึ้น
หลังจากที่ออกจาก Facebook สองฝาแฝดเลือกลงทุนด้วยการซื้อบิทคอยน์ที่ราคา 10 เหรียญ ในช่วงเวลาที่มีเพียงไม่กี่คนของนักลงทุนอย่างเช่น Roger Ver และ Charlie Shrem ที่ได้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้ ในเวลาไม่กี่เดือนฝาแฝดทั้งสองสะสมบิทคอยน์ถึง 120,000 เหรียญด้วยเงินลงทุน 11 ล้านเหรียญ
ปัจจุบัน 120,000 บิทคอยน์ที่ซื้อโดยฝาแฝด Winklevoss มีมูลค่าสูงถึง 1.68 พันล้านดอลลาร์ และฝาแฝดมีกำไรถึง 1.669 พันล้านเหรียญภายในเวลาเพียงสี่ปี
ในขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนระบุว่าการเติบโตของบิทคอยน์จะถูกจำกัดเนื่องจากการมีประเมินมูลค่าตลาดได้บรรลุถึง 236 พันล้านดอลลาร์แล้ว อย่างไรก็ตามฝาแฝด Winklevoss บอกกับ Nathaniel Poppers ของ New York Times ว่าราคาของบิทคอยน์จะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกหลายปีข้างหน้าเนื่องจากมีวิวัฒนาการไปสู่สินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าอย่างมั่นคง
ฝาแฝด Winklevoss ยังย้ำว่าพวกเขาจะไม่ขายบิทคอยน์ แม้ว่าจะมียอดขายเกินกว่ามูลค่าตลาดของทองคำที่อยู่ที่ 8,000 ล้านเหรียญหรือเมื่อราคาเกินทองคำไปกว่า 380,950 เหรียญ Tyler Winklevoss ตั้งข้อสังเกตว่าบิทคอยน์ดีกว่าทองเพราะถูกตั้งโปรแกรมออกแบบมาให้เป็นเงินและมีข้อดีกว่าสินทรัพย์แบบเดิมเช่นเรื่องการขนส่ง การละลายน้ำ ความปลอดภัยและการแบ่งส่วน
Tyler ให้สัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กไทม์ส “มันตลก พวกเราไม่คิดว่าเราจะขาย(บิทคอยน์ที่ราคาเกินทอง380,950 เหรียญ) บิทคอยน์มีค่ามากกว่าทอง – เป็นที่ออกแบบมาให้เก็บมูลของเงิน ยังมีการพัฒนาต่อไปอีก”
ที่สำคัญ Tyler กล่าวเพิ่มเติมว่าทั้งคู่ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนและราคาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเชื่อมั่นในผลการดำเนินงานในระยะยาวของเทคโนโลยีสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังบิทคอยน์
ฝาแฝด Winklevoss และ Gemini
นอกเหนือจากความสำเร็จของพวกเขาที่ลงทุนบิทคอยน์ในช่วงต้นตั้งแต่ปี 2015 ฝาแฝด Winklevoss ได้ดำเนินการตั้งเวบแลกเปลี่ยนสกุลดงินดิจิทัลที่เป็นที่รู้จักดดีอย่าง Gemini
Gemini ได้ให้บริการนักลงทุนมืออาชีพและนักลงทุนรายย่อยในตลาดสหรัฐฯโดยมีการทำธุรกรรมกับคู่ค้าเป็นจำนวนมาก ในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลและสกุลเงินดอลล่าห์
Ari Paul ผู้ร่วมก่อตั้ง cryptocurrency hedge fund อย่าง Blocktower และนักวิเคราะห์สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยม กล่าวว่า Gemini เป็นเว็บ exchange ที่มีคนนิยมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถึงแม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะน้อยกว่า GDAX และ Coinbase แต่ก็เป็นเวบ exchange เพียงไม่กี่รายที่นักลงทุนสหรัฐไว้วางใจ
-
ขอบคุณครับผม
.gif)
.gif)
-
เหรียญ Dogecoin หรือเหรียญ Cryptocurrency ที่ถูกนำมาล้ออยู่เป็นประจำ ตอนนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่หนึ่งพันล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สี่ปีหลังจากมีการเริ่มขุด Bitcoin ขึ้นมา นักพัฒนาซอฟต์แวร์นามว่า นาย Billy Markus ได้เขียนโค้ด Cryptocurrency ของตัวเองขึ้นมาในปี 2013 ด้วยความช่วยเหลือจากนาย Jackson Palmer ผู้จัดการผลิตภัณฑ์และนักวิเคราะห์ข้อมูลของ Adobe หลังจากนั้น Dogecoin ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และได้ยังเป็นเหรียญที่ถูกนำมาล้อเลียนบ่อยที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
การที่เหรียญ Dogecoin ใช้รูปสุนัข Shiba Inu เป็นสัญลักษณ์นั้น เนื่องมาจากผู้สร้างเห็นว่า Cryptocurrency ควรจะเป็นระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ที่ใช้งานง่ายหรือ friendly เหมือนสุนัขนั่นเอง โดยที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับความนิยมถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตามในระยะเวลาห้าปี Dogecoin ได้เติบโตขึ้น โดยมีชุมชนที่มีชีวิตชีวาเป็นของตัวเอง เมื่อเวลาผ่านไป Dogecoin ก็ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะ “ระบบให้ทิป” ของผู้ใช้ โดยมีการระบุไว้ในเว็บไซต์ว่า:
“หนึ่งในการใช้งาน Dogecoin ที่นิยมมากที่สุด คือ “การให้ทิป” แก่ผู้ที่เขียนหรือแชร์บทความดี ๆ โดย Dogecoin จะแทนสิ่งที่มีค่ามากกว่าแค่การกด Like ด้วยมูลค่าที่สามารถใช้งานได้จริงบนอินเทอร์เน็ต
นอกจากนั้น Cryptocurrency ตัวนี้ยังไม่มีการจำกัดจำนวนเหรียญที่จะสามารถขุดได้ โดย ณ ตอนที่เขียนบทความนี้ Dogecoin มีจำนวนมากกว่า 112 พันล้านเหรียญ ถึงแม้มูลค่าต่อเหรียญนั้นจะไม่ถึง 0.01 ดอลลาร์ แต่มูลค่า Market Cap นั้นมีสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 72,423 BTC เลยทีเดียว
เหรียญ Pop-Culture
Dogecoin ได้นำ Meme ของคำว่า “Doge” บนอินเทอร์เน็ตมาใช้เป็น “มาสคอต” ของเหรียญ โดยบนอินเทอร์เน็ต คำว่า “Doge” เป็นคำที่ได้รับความนิยมสำหรับการพูดถึง “สุนัข” หรือ “Dog” ซึ่งเริ่มมาจากการสะกดผิดในซีรีส์ทีวีเมื่อปี 2005
ตามคำอธิบายจากเว็บ knowyourmeme.com คำว่า doge ถูกจับคู่กับภาพของสุนัข Shiba Inu ใน Reddit เมื่อปี 2010 และทำให้มันเป็นหนึ่งใน Meme ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดบนโลกอินเทอร์เน็ต
ชุมชนการกุศล
ชุมชนของ Dogecoin มีชื่อเสียงในเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ในปี 2013 แพลตฟอร์มกระเป๋าของ Dogecoin ที่ชื่อว่า Dogewallet ถูกแฮ็คและโดนขโมยเหรียญไปเป็นจำนวนหนึ่งล้าน DOGE หลังจากนั้น Dogecoin จึงเริ่มมีการระดมทุนที่เรียกว่า SaveDogemas ซึ่งเป็นการระดมทุนให้ได้จำนวนเท่ากับจำนวนเหรียญที่ถูกแฮ็คไป โดยใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวหลังจากการโดนโจรกรรมทางไซเบอร์ในครั้งนั้น
-
(http://upic.me/i/we/0000000000000000.jpg)
BTC ตอนเช้า วันเสาร์ ยัง อยู่ที่ 17000 $ ค่ำ ๆ มะวาน เท อย่างโหด ลงมาที่ 139xx $
เช้า นี้ เด้ง มา นิด ... อันตรายมาก เลย วิ่งแต่ละที่ 4000 $ mm27 mm27 m:9 m:9
-
จะลงต่ออีกหรือป่าวครับ ทองยังขึ้นอยู่เลย
.gif)
.gif)
-
กรุงเทพ ฯ 8 ม.ค. - ธปท.ยืนยันไม่มีกฎหมายรับรองการซื้อขายบิทคอยน์ หลัง บล.ฟิลลิปประกาศเปิดเทรดบิทคอยน์ฟิวเจอร์ส ด้านตลท.ย้ำนักลงทุนต้องศึกษาและรับความเสี่ยงได้
จากกรณีที่ บล.ฟิลลิป เปิดให้บริการเทรดบิทคอยน์ฟิวเจอร์สในไทย ผ่านการซื้อขายตลาดล่วงหน้า คือ ตลาด CME (The Chicago Mercantile Exchange) และ CBOE (Chicago Board Options Exchange)
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ทาง ธปท.ไม่เคยรับรองเงินสกุลดิจิทัลและบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น ขอเวลาตรวจสอบก่อนว่าการเทรดดังกล่าวมีการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อนหรือไม่อย่างไร หรือถือเป็นการซื้อขายในตลาด CME (The Chicago Mercantile Exchange) และ CBOE (Chicago Board Options Exchange)
นางจันทวรรณ กล่าวว่า ธปท.ขอตรวจสอบว่าเป็นการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศตามช่องทางที่ ธปท.ได้เคยอนุญาตไปแล้ว ได้แก่ การลงทุนผ่านสถาบันตัวกลาง คือ บล.ในประเทศไทย ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองและดูแลให้นักลงทุนได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องเป็นนักลงทุนที่สามารถจะรับความเสี่ยงได้ เพราะราคาของสินค้าพื้นฐาน (Digital Commodity) นี้ในตลาดล่วงหน้ามีความผันผวนสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ข้อความที่น่าจะเป็นการเชิญชวนให้ผู้อ่านเข้าใจผิด คือ การอ้างเป็น บล.รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่สามารถซื้อขายบิตคอยน์ ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายและได้รับการรับรองจาก ธปท. เพราะ ธปท.ไม่เคยรับรองบิตคอยน์ เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หากเป็นการลงทุนในตลาดต่างประเทศ อาทิ CME (The Chicago Mercantile Exchange) ที่เป็นตลาดซื้อขายบิตคอยน์ถูกกฎหมายในประเทศสหรัฐนั้นก็ถือว่าเป็นไปได้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้สนับสนุนให้มีการลงทุนไปยังต่างประเทศ แต่ไม่ได้ระบุหรือมีกฎเกณฑ์ ที่กำหนดขอบเขตของการลงทุน ซึ่งการออกไปลงทุนในรูปแบบนี้เกิดขึ้นมองว่านักลงทุนต้องมีความรู้และความเข้าใจเพียงพอ และสามารถรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
ด้าน ก.ล.ต.ระบุว่า ตลาด The Chicago Mercantile Exchange และ The CBOE Futures Exchange ซึ่งเป็นตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Commodity Futures Trading Commission ของสหรัฐอเมริกา (US CFTC) ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ไทยสามารถบริการลูกค้าที่ประสงค์จะลงทุนผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในต่างประเทศดังกล่าวได้อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นตลาดที่อยู่ใต้กำกับขององค์กรสมาชิก International Organization of Securities Commissions (IOSCO) ซึ่งมีข้อตกลงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรกำกับดูแลที่ได้มาตรฐาน ประเด็นที่น่าเป็นห่วงในกรณีนี้จึงมิใช่เรื่องฉ้อโกงหรือฟอกเงิน แต่เป็นเรื่องที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงมากจากหลายปัจจัย ทั้งความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัลที่เป็นสินค้าอ้างอิง รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราทด (leverage) ในตัว ทำให้อัตราของผลกำไรขาดทุนสูงกว่าสินค้าอ้างอิง และการต้องเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการถูกเรียกหลักประกันเพิ่มรายวัน ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องคำนึงถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนด้วย หากไม่เข้าใจหรือไม่พร้อมก็ควรหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำชับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการในลักษณะดังกล่าวต้องประเมินความเหมาะสมในการแนะนำลูกค้า โดยคำนึงถึงความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของลูกค้าด้วย.-สำนักข่าวไทย
-
ดูเหมือนว่าทาง ก.ล.ต. จะนำหน้าผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศใกล้เคียงเราไปหลายก้าวในด้านการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาในประเทศ หลังจากที่ได้ออกมากล่าวผ่านสื่อกระแสหลักว่าผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์สำหรับลงทุนนาม Bitcoin Futures นั้นสามารถลงทุนได้อย่างอิสระผ่านสถานบันตัวกลางระหว่างประเทศ และไม่ใช่การฟอกเงิน
โดยอ้างอิงจากสื่อกระแสหลัก VoiceTV นางทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่เห็นในข่าวเป็น Bitcoin Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ที่ก่อนหน้านี้เปิดตัวไปแล้วในตลาด CME และ Cboe ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสองตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากคณะกรรมการกำกับตลาดฟิวเจอร์ส หรือ CFTC ดังนั้น นั่นจึงหมายความว่าบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยไทยสามารถให้บริการลูกค้าที่ต้องการลงทุนผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในประเทศสหรัฐฯได้อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นตลาดที่อยู่ใต้กำกับขององค์กรสมาชิก International Organization of Securities Commissions (IOSCO) ที่มีข้อตกลงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
ที่น่าสนใจคือ ในรายงานยังได้มีการกล่าวถึงการที่ผลิตภัณฑ์ Bitcoin Futures “ไม่ใช่การฟอกเงิน” เนื่องจากว่ามีองค์กรที่กำกับนั้นได้มาตรฐานอยู่แล้ว อีกทั้งลักษณะของการซื้อขายสัญญานั้นไม่ใช่การซื้อขายเหรียญ BTC จริง ๆ จึงไม่สามารถใช้โอนมันออกนอกตลาดได้
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
กระนั้น ทาง ก.ล.ต. แห่งประเทศไทยก็ยังเตือนว่าตลาดดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในด้านความผันผวนของราคา แต่ไม่เพียงแค่นั้น ผู้คนยังสามารถ leverage (ยืมเงินเพื่อมาเทรดโดยอ้างอิงจากอัตรา margin ของเงินที่มีอยู่) ได้อีกด้วย ทำให้บริษัทตัวแทนผู้ให้บริการด้านการลงทุนฟิวเจอร์สในไทยต้องประเมินความเหมาะสมในการแนะนำลูกค้า โดยคำนึงถึงความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของลูกค้าด้วย
สำหรับในไทยนั้น ปัจจุบันบริษัทตัวแทนที่ช่วยเหลือลูกค้าในไทยในการลงทุนตลาด Bitcoin Futures ในสหรัฐฯอย่างเป็นทางการแล้วนั้นมีแค่เจ้าเดียว ซึ่งก็คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย)
-
หลังจากที่กระแสความตื่นตัวเรื่องสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) โดยเฉพาะ “บิตคอยน์” พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผู้สนใจเข้ามาลงทุนซื้อขายจำนวนมาก แม้ว่าจะยังไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อสกุลเงินดิจิทัล จนทำให้เมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นถึงระดับแตะ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้ความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงมากมาย
และแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ราคาสกุลเงินดิจิทัลหลักอย่าง “บิตคอยน์” รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลอื่น พากันร่วงลงอย่างหนักกว่า 30% โดยราคาบิตคอยน์ในตลาดซื้อขาย COINDESK วันที่ 17 ม.ค. ร่วงลงต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ และกลับมาอยู่ที่ระดับ 10,100-10,900 ดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่าคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ ก็อยู่ในสถานการณ์ไม่แตกต่างกัน
นักลงทุนทั่วโลกต่างอกสั่นขวัญแขวน สถานการณ์ราคาสกุลเงินดิจิทัลตกต่ำแบบฉับพลันนี้ สะท้อนถึงไม่เชื่อมั่นของตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล หลังจากที่รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกกำลังเดินหน้าหามาตรการสกัดกั้นหรือควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ประเทศที่มีตลาดเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการควบคุมการเงินของเกาหลีใต้ได้ประกาศห้ามระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (ICO : initial coin offering) และล่าสุดนายปัก ซาง-กี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ ระบุว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างร่างกฎหมายจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัล และอาจถึงขั้นแบนการซื้อขาย เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงสูง และการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลขณะนี้มีความคล้ายคลึงการพนัน
ขณะที่ทางการจีน ซึ่งมีการควบคุมและสอดส่องสกุลเงินดิจิทัลอย่างเข้มงวด เมื่อต้นสัปดาห์ ธนาคารกลางจีนได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรว่า เตรียมแบนการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน
ดิจิทัลต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์กลางซื้อขาย หรือเว็บไซต์เทรดต่าง ๆ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ออกกฎห้ามการระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล หรือ ICO รวมทั้งการเพิ่มมาตรการจำกัดการขุดบิตคอยน์ในจีน เนื่องจากมองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นต้นตอของความเสี่ยงในระบบการเงิน
ขณะที่สหรัฐอเมริกา ประธานคณะกรรมาธิการควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ของสหรัฐ หรือ ก.ล.ต. ได้ออกแถลงการณ์เตือนถึงความแพร่หลายของตลาดเงินดิจิทัลว่า นำมาซึ่งความเสี่ยง และวุฒิสภาของสหรัฐเล็งจัดประชุมร่วมกับ ก.ล.ต.และหน่วยกำกับตลาดซื้อขายตราสารอนุพันธ์ล่วงหน้า เพื่อคุยเบื้องต้นถึงกรอบการกำกับสกุลเงินดิจิทัล
“ชัก โจนส์” คอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยีของ “ฟอร์บส” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเขียนบทวิเคราะห์ถึงโอกาสที่จะทำให้บิตคอยน์จะมีราคาสูงกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐ ได้เขียนบทวิเคราะห์ถึงมูลค่าที่ดิ่งลงของบิตคอยน์ในครั้งนี้ โดยระบุว่าราคาบิตคอยน์อาจตกลงเหลือไม่ถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ และเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาลดฮวบลงเช่นนี้ เกิดจากที่รัฐบาลหลายประเทศเริ่มพาเหรดออกมากำกับดูแลการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอย่างจริงจัง เนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศมองว่า บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ กลายเป็นช่องทางการฟอกเงิน ขณะเดียวกันการซื้อขายบิตคอยน์ก็เริ่มเป็นวงกว้างจนควบคุมไม่ได้
อย่างไรก็ตาม โจนส์ไม่ได้มองแค่ปัจจัยจากมาตรการของรัฐบาลเท่านั้น เขาระบุว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ราคาบิตคอยน์ผันผวนสูง เช่น ในปี 2014 ที่เว็บ “Mt.Gox” ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเว็บซื้อขายบิตคอยน์กว่า 70% ของทั่วโลก ถูกมือดีแฮกเข้าระบบขโมยบิตคอยน์ไปกว่า 850,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าในเวลานั้นกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา “Youbit” เว็บเทรดบิตคอยน์ของเกาหลีใต้ก็ถูกแฮกเช่นกัน และถูกขโมยไปเกือบ 40,000 บิตคอยน์ หรือราว 17% จากสินทรัพย์ทั้งหมด มูลค่ากว่า 48 ล้านเหรียญสหรัฐ สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักลงทุนทั่วโลก นี่จึงเป็นอีกปัจจัยที่เขย่าความเชื่อมั่นนักลงทุน
ทั้งยังมีนักลงทุนบิตคอยน์บางรายมองว่า หากมีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาล จะทำให้สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ มีโอกาสได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็จะกดดันให้มูลค่าบิตคอยน์ในอนาคตลดลงด้วย ซึ่งปัจจุบันในเว็บ coinmarketcap.com มีสกุลเงินดิจิทัลมากถึง 1,450 สกุล ซึ่งกว่าครึ่งมีมาร์เก็ตแคปไม่ถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือการที่ third party ถอนตัวจากสมรภูมิบิตคอยน์ก็สร้างความผันผวนต่อราคาเช่นกัน หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดคือในเดือนมกราคมนี้ บัตรเครดิตบิตคอยน์ 5 เจ้า ได้ยกเลิกการใช้งานทั้งหมด หลังจากกลุ่มวีซ่าของยุโรปสั่งปิดบริการ
จึงมาสู่บทสรุปที่ว่า “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” คือเรื่องที่สำคัญยิ่ง ระบบการเงินโลกยึดโยงอยู่บน 3 เสาหลัก คือ นักลงทุน ผู้ประกอบการ และรัฐบาล หากเสาใดเสาหนึ่งสั่นคลอน ก็ส่งผลต่อเสาอื่น ๆ ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนของบิตคอยน์อาจจะเริ่มต้นจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล จากนั้นจึงกลายเป็นอุปทานหมู่ เมื่อกลุ่มนักลงทุนเริ่มแสดงความไม่เชื่อมั่นต่อสกุลเงินบิตคอยน์ และเมื่อลดการเทรดลงเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ถือว่าเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และที่สำคัญการลงทุนเงินดิจิทัลจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ขณะที่ยังไม่มีกลไกกำกับตรวจสอบตลาดบิตคอยน์ ทำให้รัฐบาลหลายประเทศมองว่า ตลาดซื้อขายบิตคอยน์จึงเป็นเสมือนบ่อนการพนัน
-
ขอสรุปใช่่เลย


-
ขอบคุณครับ Cat1.gif
-
เว็บ Korbit หรือหนึ่งในผู้ให้บริการกระดานซื้อขาย cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้เริ่มสั่งห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนของเกาหลีใต้ฝากเงินเข้าเว็บของพวกเขาแล้ว หรือแม้แต่เงินสกุลวอนก็เช่นกัน
Korbit ได้ออกมาประกาศว่าบัญชีแบบ virtual ของพวกเขานั้นจะถูกปิดตัวลงภายในเดือนนี้ เพื่อที่จะเปิดตัวบัญชีแบบใหม่ที่จะมีการผูกติดกับตัวตนของผู้ใช้งาน โดยจะสอดคล้องกับคำสั่งของผู้ออกกฎหมายในประเทศที่มีจุดประสงค์เพื่อลดการเก็งกำไรของ cryptocurrency และรวมถึงลดการฟอกเงินลงด้วย
ซึ่งนั่นหมายความว่า ภายหลังจากนี้ชาวต่างชาติจะไม่สามารถฝากเงินเข้ามาในบัญชีของพวกเขาได้อีกต่อไป
โดย Korbit ประกาศว่า
“ถ้าหากว่าคุณไม่ใช่ประชาชนของเกาหลีใต้ การฝากเงิน KRW เข้ามาในเว็บเทรดในประเทศนั้นจะไม่สามารถทำได้ เมื่อคุณเปลี่ยนวิธีการฝากเงิน KRW ใหม่ในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งข้อบังคับนี้จะมีผลกับทั้งชาวต่างชาติที่ทั้งอาศัยอยู่ในและนอกเกาหลีใต้”
นอกจากนี้ทาง Korbit ยังกล่าวเสริมว่าชาวต่างชาตินั้นจะไม่สามารถฝากเงินวอนเข้ามาในเว็บเทรดคริปโตอื่น ๆ ในปรเทศเกาลีใต้ได้อีกด้วย
โดยอ้างอิงจากรายงานเมื่อไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลเกาหลีใต้เคยออกมาสั่งแบนไม่ให้ชาวต่างชาติและเด็กที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์สามารถซื้อขายเหรียญคริปโตได้
นอกจากนี้เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเริ่มออกกฎหมายเพื่อแบนไม่ให้มีการซื้อขายเหรียญคริปโตแบบ “ไร้ตัวตน” เพื่อให้มันผลในวันที่ 27 มกราคมนี้อีกด้วย
โดยจุดมุ่งหมายนั้นมีขึ้นเพื่อเสริมสร้างการยืนยันตัวตน (KYC) ที่เข้มงวดอยู่แล้วในปัจจุบัน ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นจะทำให้นักลงทุนคริปโตจะต้องทำการเชื่อมต่อบัญชีธนาคารที่มีข้อมูลของพวกเขาบันทึกไว้อยู่ ก่อนที่จะเริ่มฝากหรือถอนเงินเข้าไป
-
ความนิยมของเทคโนโลยี Blockchain และสกุลเงินคริปโตที่ปัจจุบันแผ่ขยายไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเรานั้น ส่งผลทำให้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถหันหลังให้กับมันได้อีกต่อไป ด้วยธรรมชาติของเทคโนโลยี distributed ledger ที่มีลักษณะเป็นการกระจายอำนาจบนเครือข่ายไปสู่ประชาชน อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และไร้ตัวตนสูงนั้น ส่งผลทำให้อำนาจของรัฐที่ในหลาย ๆ ประเทศมีลักษณะเป็นการ centralized หรือนำไปกระจุกไว้ตรงส่วนกลางต้องถูกท้าทายด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ หลาย ๆ ประเทศป้องกันตัวด้วยการออกกฎหมายเข้ามากำกับมัน และให้การสนับสนุนไปในตัว บางประเทศเลือกที่จะแบนมันเป็นบางส่วน และในขณะที่บางประเทศเลือกที่จะแบนมันแบบเบ็ดเสร็จ แต่ไม่ว่าจะมีมาตรการทางกฎหมายแบบไหนเข้ามาพยายามจะกำกับเจ้าเหรียญคริปโตเหล่านี้ มันก็ได้พิสูจน์ให้ทุก ๆ คนเห็นมาแล้วกว่า 9 ปีกับการอยู่รอดจากอำนาจของรัฐในแทบจะทุก ๆ ทาง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่มาถึงประเทศไทยของเรานี้ ในตอนแรก ๆ หลาย ๆ ฝ่ายต่างก็ตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของมัน บางคนที่ไม่เข้าใจถึงกับมองว่ามันมีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ เนื่องจากว่าการเกิดขึ้นมาของกลุ่มมิจฉาชีพหลาย ๆ กลุ่มที่ออกมาหากินเพื่อหลอกผู้ที่ไม่ทราบถึงสิ่งเหล่านี้ที่มีขึ้นเยอะอย่างมาก จนกระทั่งล่าสุดนี้ ที่มีการประกาศเตือนออกมาจากกระทรวงการคลังถึงความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายหากมีการ “ซื้อ-ขาย” เงินสกุลดิจิทัล ที่สื่อกระแสหลักทั่วไปในไทยไม่ได้ให้รายละเอียดมากเท่าไรนักหลังจากรายงานข่าว จนส่งผลทำให้ผู้คนเกิดอาการงง
โดยอ้างอิงจากการประกาศของกระทรวงการคลังที่มีการอ้างอิง “พระราชกำหนดการท่าน้ยืมเงินฯที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ปี พ.ศ. 2527 ในมาตราที่ 4 ที่กล่าวว่า
“ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปว่า ในการท่าน้ยืมเงินตนหรือบุคคลใดจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ตามพฤติการณ์แห่งการท่าน้ยืมเงินในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้ท่าน้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ โดยที่ตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนหรือบุคคลนั้นจะนำเงินจากผู้ให้ท่าน้ยืมเงินรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้ท่าน้ยืมเงิน หรือโดยที่ตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ตนหรือบุคคลนั้นไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ และในการนั้นเป็นเหตุให้ตนหรือบุคคลใดได้ท่าน้ยืมเงินไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานท่าน้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
โฆษณาที่คุณอาจสนใจ
โทษดังกล่าวจะต้องมีการปรับผู้กระทำความผิดถึงห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่อาจดูน้อยสำหรับบุคคลที่ฉ้อโกงจนเป็นมืออาชีพ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น คำถามคือ นักลงทุน Bitcoin หรือ cryptocurrency ในปัจจุบันนั้นตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะละเมิดข้อกฎหมายดังกล่าวหรือไม่
มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน
หากลองมาพิจารณาดูให้ดีแล้วนั้น รูปแบบการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ในประเทศไทยในปัจจุบันที่เป็นที่นิยมอย่างมากก็คือการซื้อขายผ่านตลาด exchage อย่าง Bx และ TDAX ลักษณะของตลาดทั้งสองแห่งนั้นคือตลาดแบบกระดานซื้อขายที่เปิดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายด้วยกันเองอย่างอิสระเสรีและไร้ตัวตน ไม่ต่างจากตลาดหุ้นหรือ forex ที่มีการตั้งและ fill order กันได้อย่างปกติ
แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะกล่าวว่ากิจกรรมเกี่ยวกับ Bitcoin ในไทยนั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่มีกฎหมายมารองรับนั้น นั่นหมายความว่านักลงทุนจึงต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอง
นั่นจึงหมายความว่า สำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้ว การซื้อขายในลักษณะด้านบนจึงไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายของพระราชกำหนดการท่าน้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนในข้างตน เนื่องจากว่าไม่มีการท่าน้ยืมเงินกันระหว่างนักลงทุนกันเกิดขึ้น แต่นักลงทุนเป็นผู้สมัครใจเข้าไปซื้อขายเหรียญคริปโตตามอัตราการผันผวนของตลาด
อย่างไรก็ตาม ในมาตราที่ 4 ของในในพระราชกำหนดดังกล่าวได้มีการกล่าวว่า
“ผู้ใดไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ดำเนินการ หรือให้พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคคลใดดำเนินการโฆษณา ประกาศหรือชักชวนประชาชนให้ลงทุนโดย
(๑) ซื้อหรือขายเงินตราสกุลใดสกุลหนึ่งหรือหลายสกุล หรือ
(๒) เก็งกำไรหรืออาจจะได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานท่าน้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย”
ข้อกฎหมายดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นข้อที่ทางผู้ให้บริการด้านตลาดซื้อขายเหรียญคริปโตต้องระวังเป็นพิเศษในด้านการขอใบอนุญาตอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังไม่ควรที่จะทำการโฆษณา หรือประกาศชักชวนเรียกลูกค้าด้วยการสัญญาถึงผลตอบแทนที่สูง และควรที่จะกำหนดข้อตกลงในการใช้งานให้เรียบร้อยอีกด้วย
แล้วการซื้อขายแบบไหนเสี่ยงผิดกฎหมาย?
ตามที่ผู้เขียนได้เกริ่นไว้ข้างต้นนั้น ปัจจุบันหลาย ๆ คนต่างก็อยากจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ แต่ละคนมีวิธีที่แตกต่างกันไป ในขณะที่บางคนใช้วิธีฉ้อโกงและหลอกลวงคนอื่น ๆ โดยการนำเอาเทคโนโลยีมาบังหน้า แต่เบื้องหลังคือการเปิดโครงสร้างธุรกิจแชร์ลูกโซ่
ในปัจจุบัน ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ที่มีการนำเอาเหรียญ cryptocurrency และ blockchain มาบังหน้านั้นกำลังมีเพิ่มมากขึ้นเป็นดอกเห็ด วิธีการสังเกตที่ง่ายคือ ธุรกิจดังกล่าวจะมีการชักชวนกันให้เข้าไปลงทุน, มีการชวนกันไปจัดประชุมและโฆษณาแพคเกิจสินค้า อีกทั้งยังมีการโฆษณาโดยสัญญาว่าผู้ลงทุนจะได้อัตราผลตอบแทนที่สูงมากอย่างแน่นอน ภายใต้เงื่อนไขเดียวคือ
“คุณต้องจ่ายเงินลงทุนเป็นจำนวนที่กำหนดไว้เสียก่อน”
โปรดจำไว้ว่า cryptocurrency ที่แท้จริงนั้นจะต้องมีเทคโนโลยี blockchain มารองรับ และสามารถใช้ block explorer เพื่อเรียกดูประวัติการทำธุรกรรมได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และที่สำคัญ ผู้ที่ลงทุนนั้นแทบจะไม่มาสนใจชวนคุณเลย เพราะพวกเขากำลังวุ่นอยู่กับการเก็งกำไร การวิเคราะห์กราฟ และการติดตามข่าวสารที่พวกเขาเชื่อว่าจะมีผลต่อราคาของเหรียญต่าง ๆ ในขณะที่บางคนพยายามกีดกันคุณออกไปจาก ‘โลก’ ของพวกเขาด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าคุณจะไปเพิ่มค่า difficulty ให้พวกเขานั่นเอง
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น พระราชกำหนดดังกล่าวดูเหมือนว่าจะถูกออกแบบมาเพื่อปราบรามธุรกิจอันเลวร้ายเหล่านี้ และก็แน่นอน ตราบใดที่คุณไม่เข้าไปหลอกลวงหรือฉ้อโกงใคร การซื้อขายเหรียญ cryptocurrency ก็จะยังคงทำได้ตามความสมัครใจของนักลงทุน แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายมารองรับมันก็ตาม
-
ขอบคุณครับ


-
เช้านี้จิ้มไปหนึ่งที ลบหนักจัง หันไปดูสเปรด โอมายกอดด เกือบสองหมื่น em9.gif
-
.gif)
มือบอนสะแล้ว หากกดถูกทาง คงจะได้คืนเร็ว เหมือนกับทอง ค่อยล้นไปครับ
-
ติดสกุลนี้สักพักละครับ เล่นง่ายมาก แต่ปกติสเปรด 5000-8000 เช้านี้โหดเกิ๊นน
-
ลงมาๆ AT9.gif
-
ผมเผ่น ตั้งแต่ 12000 แล้ว ครับ บาดเจ็บ เล็ก น้อย ...
-
จะลงไปถึงไหนเนี้ย จะได้คัดถูก ตั้ง sl ตามท้ายรัวๆ AT4.gif
-
รอนอนฟาร์มไม่รู้จะมีผลกับบิทคอยท์หรือป่าวนะ
-
จะลงไปถึงไหนเนี้ย จะได้คัดถูก ตั้ง sl ตามท้ายรัวๆ AT4.gif
เผ่น เถอะ ครับ ช่วงนี้ มี แต่ ข่าว ร้าย ๆ
-
em2.gif กำไรครับท่าน ผมสาย sell em3.gif
-
งั้น ก็ ล้างแค้นให้ผม ด้วย นะ ครับ cut ไป 32 $
-
Sell รัวๆ AT9.gif em12.gif
-
คาดง่าจะลงไป ที่ 5000 แน่ๆ ถ้าลงขาดนี้ Cat.gif Cat.gif Cat.gif
-
ใครมีข่าว บอกด้วยน่าา เสาร์ก็ยังเฝ้าอยู่ AT9.gif
-
บิทคอยน์เหมือนเงินแต่ไม่ใช่เงิน
บิทคอยน์เหมือนทองแต่ไม่ใช่ทอง
ครอบครองได้แต่จับต้องไม่ได้ การเพิ่มจำนวนเหรียญเหมือนการขุดแร่หายากแบบทองคำ
แต่เอามาแปรรูปใส่โชว์แบบทองคำไม่ได้ รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่รับรอง(ควบคุมไม่ได้) แม้จะมีบางประเทศทั่ให้ชำระหนี้ได้ รวมถึงร้านค้าและบริษัทบางแห่งยอมรับ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะยังยอมรับมั้ยเพราะความผันผวนในมูลค่าสูงมาก(ร้านค้าหรือบริษัทเจ้งเอาง่ายๆถ้ารับชำระด้วยบิทคอยน์มากกว่าเงินสกุลหลักอื่นๆ)
m:17 em8.gif
-
m:7 BTC ถ้าวางแผนการเล่น ดีก็ ทำกำไร ได้บ้าง น่ะ ถึง เสปรด จะสูง ก็ตาม (เล่นเอาแบบ ไม่เสี่ยงเป็นดีที่สุด)
m:13 มันดีตรงที่ มันสามารถเทรดได้ทุกวัน จ-อ 7/24 กันเลยที่เดียว
(http://image.free.in.th/v/2013/iy/180211010618.jpg) (http://picture.in.th/id/153185a018de2820173efaa64307f36d)
-
เทรดบิทคอยน์ต้องจัดการ MM มากเลยครับควรเผื่อไว้เยอะๆ
m:17
-
ตอนนี้สเปรดลดเหลือ 2000 แล้วครับ ปิด 14.00 ถึงเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ของเสาร์อาทิตย์
-
m:7 BTC ถ้าวางแผนการเล่น ดีก็ ทำกำไร ได้บ้าง น่ะ ถึง เสปรด จะสูง ก็ตาม (เล่นเอาแบบ ไม่เสี่ยงเป็นดีที่สุด) m:13 มันดีตรงที่ มันสามารถเทรดได้ทุกวัน จ-อ 7/24 กันเลยที่เดียว (http://image.free.in.th/v/2013/iy/180211010618.jpg) (http://picture.in.th/id/153185a018de2820173efaa64307f36d)


สุดยอด เขียวชะอุ่มเลย เห็นแล้วสดชื่น
-
เยี่ยม ครับ เฮีย
-
ไปถึงไหนเนีิย m:11
-
EXNESS MINI => BTC/USD , LTC/USD , XRP/USD , ETH/USD , BCH/USD ให้บริการ แล้ว .. จะกล้าไหมเนี่ย
-
โหสเปรดจาก 2-3000 วิ่งมาหมื่นอีกละ ซื้อชาตินี้ขายชาติหน้าอะแบบนี้ m:10
-
โอีว ... เช้านี้ หลุด 8000 แล้ว อ่ะ m:9 m:9
-
โหสเปรดจาก 2-3000 วิ่งมาหมื่นอีกละ ซื้อชาตินี้ขายชาติหน้าอะแบบนี้ m:10


-
ลงยาวๆเลย เพราะมีนายทุนใหญ่เทขาย และประธานไรไม่รู้บอก บิทคอยไม่ใช้ทางออกของเงินอนาคต AT9.gif ส่วนตัวผมนะ เงินดิจิออกมาเยอะเกิน มันเกินจำเป็น แดงทั้งแผงไปสิ
-
สเปรดมันเกินไปตัวนี้
-
บริษัททวิตเตอร์ประกาศว่า ทางบริษัทจะห้ามการลงโฆษณาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการระดมทุนด้วยการเสนอขายโทเคนสกุลเงินดิจิทัล (Initial Coin Offering) หรือ ICO รวมทั้งการส่งเสริมการขายโทเคน และการให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลนอกจากนี้ นโยบายใหม่ของทวิตเตอร์จะส่งผลให้มีการระงับโฆษณาจากแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลมาตรการของทวิตเตอร์มีขึ้น หลังจากที่เฟซบุ๊กและท่านเกิลประกาศห้ามการโฆษณาในลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้
ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้สกุลเงินดิจิตอลหรือเกือบทุกสกุลเงินในสกุลเงินดีตอนนั้นมีการร่วงลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะสกุลเงินบิทคอยน์ที่ร่วงลงต่ำกว่า 8000 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์แล้วโดยถ้าเกิดว่ายังไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้สกุลเงิน บิทคอยน์มีการดีดตัวขึ้นนั้นอาจจะทำให้ร่วงลงต่อถึงจุดที่ควรที่จะต้องติดตามซึ่งในตอนนี้นักลงทุนปิดคอยจับตามองว่าจะมีเหตุการณ์อะไรฉุดดึงขึ้นไปหรือไม่ต้องรอดูติดตามในวันนี้
-

ขาเงินดิจิตอล คงต้องเปิด Sell กันละสิคราวนี้
-
เหมือนพยายามลงมาสามวันแล้วนะครับ แต่ไม่หลุด เมื่อคืนเลยอัดซื้อกันเลย คงต้องดูต่อ เพราะข่าวแนวบวกก็มีมาอยู่ em11.gif
-
m:17 m:17 m:17 m:17
-
By Jirapas Siribunchawan
May 21, 2018
รัฐบาลประเทศจีนจัดอันดับคริปโต 28 อันดับแรก Ethereum ได้อันดับหนึ่ง
ต่างประเทศ, ไม่มีหมวดหมู่
55 Total views
โหมดกลางคืน
สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ PRC เป็นรัฐบาลแรก ๆ ของโลกที่ได้ประกาศแบน Bitcoin และ คริปโตตัวอื่น ๆ แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา PRC เป็นประเทศแรกที่รัฐบาลได้จัดอันดับของคริปโต โดย ศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมสารสนเทศประเทศจีน (CCID) ใช้เกณฑ์ 3 อย่างในการพิจารณา คือ นวัตกรรม, เทคโนโลยี และการใช้งานจริง ซึ่งเป็นที่น่าตกใจว่า BTC นั้นไม่ได้เป็นอันดับแรกถึงแม้มันจะเป็นคริปโตที่หลาย ๆ คนเชียร์ก็ตาม และ Bitcoin Cash นั้นไม่ติดอยู่ในอันดับด้วยซ้ำ
บัญชีผู้ใช้งาน CN Ledger เป็นผู้แรกที่รายงานการจัดอันดับดังกล่าว โดยนาย Eric Zhao ซึ่งเป็นผู้เขียน เขาอธิบายว่า ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทั้งหลายนั้นไม่ได้ใส่ใจในคริปโตจนกระทั่งพวกเขาไม่เข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของเทคโนโลยีและชุมชนคริปโตที่ไม่สามารถหาในที่อื่นได้
-
มันกลับมาแล้วสเปรดหมื่น AT6.gif วิ่งวันไม่กี้้พัน สเปรดล่อหมื่น ตายๆ