เริ่มหัวข้อโดย: Teerapong ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 12:01:33 AM
เวเนซุเอลาเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคอเมริกาใต้ ทั้งยังติด 1 ใน 20 ประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก มีน้ำมันดิบสำรองอยู่ใต้ดินมากถึง 298,000 ล้านบาร์เรล แต่ตอนนี้เวเนซุเอลาตกอยู่ในสภาพวิกฤตสาหัส ประชาชนเรือนแสนออกมาเดินขบวนประท้วงต่อต้านสภาพสังคมย่ำแย่ เศรษฐกิจของเวเนซุเอลาตกอยู่ในวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐบาลมีหนี้สินมหาศาล เงินเฟ้อพุ่งทะยานไม่จบสิ้น อัตราขยายตัวเศรษฐกิจติดลบ กลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจย่ำแย่ที่สุดในอเมริกาใต้ไปแล้ว จากประเทศที่จีดีพีขยายตัวในอัตรา 10% ต่อปี เมื่อราคาน้ำมันดิบถีบตัวขึ้นสูงที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล งบประมาณภาครัฐเป็นเรือนพันเรือนหมื่นล้านดอลลาร์ ถูกหว่านไปกับโครงการประชานิยมและอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค
แต่เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกดิ่งลง โครงการประชานิยมกลายเป็นภาระหนัก ดูดเงินคงคลังของรัฐบาลไปมหาศาล ธนาคารกลางเวเนซุเอลาระบุว่า ถึงตอนนี้เวเนซุเอลามีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่เพียง 10,400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ประเมินหนี้สินภาครัฐทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 7,200 ล้านดอลลาร์ ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า ปี 2016 จีดีพีเวเนซุเอลาติดลบถึง 8% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 481% อัตราว่างงานเมื่อปีก่อนอยู่ที่ 17% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้อาจปรับตัวขึ้นเป็นกว่า 800% ส่วนอัตราว่างงานจะทะยานขึ้นทะลุ 20% รัฐบาลคุมราคาสินค้า อาหารและยารักษาโรคให้อยู่ในระดับต่ำ แต่เป็นการทำลายอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ เนื่องจากราคากำหนดต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ซึ่งธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลก็ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ด้วยการจำกัดการเข้าถึงและกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนตายตัวกับเงิน "โบลิวาร์" ที่เป็นสกุลเงินท้องถิ่น เมื่อไม่มีสินค้าจำเป็นที่ผลิตในประเทศ ก็จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยอาศัยเงินดอลลาร์ที่เป็นรายได้จากน้ำมัน แต่เมื่อราคาน้ำมันลดวูบในปี 2014 ระบบอุดหนุนราคาสินค้าและควบคุมราคาสินค้าก็เป็นปัญหา และยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นเมื่อรัฐบาลไม่สามารถใช้เงินโบลิวาร์นำเข้าสินค้า ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าจำเป็น ไปเบ่งบานในตลาดมืดมากขึ้นและจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าหลายเท่าตัว ข้อมูลจากการรวบรวมของศูนย์เพื่อการบันทึกและวิเคราะห์ทางสังคม (เซนดาส) ในสังกัดสมาพันธ์ครูแห่งเวเนซุเอลาพบว่า บรรดาเวชภัณฑ์ที่นำเข้ามาทุก ๆ 100 รายการจะถูกเจ้าหน้าที่ฉ้อฉลเป็นกระบวนการ ทำให้
หายไปมากถึง 85 รายการ และไปโผล่ขายที่ตลาดมืดแทน เซนดาสระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาเพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยเฉลี่ยเดือนละ 15% ในอีกทางหนึ่งวิธีการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ก็ส่งเสริมให้เกิดตลาดมืดขึ้นในทุก ๆ ส่วนอย่างช่วยไม่ได้ และยิ่งทำให้ภาวะเงินเฟ้อปกติ กลายเป็นเงินเฟ้อในระดับรุนแรง หรือ
Hyper Inflation
นอกจากนี้ ปัจจุบันเวเนซุเอลามีระบบอัตราแลกเปลี่ยนแตกต่างกันอยู่ถึง 3 ระบบ ระบบแรกเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นอยู่ที่ 710 โบลิวาร์ต่อดอลลาร์ อีกอัตราสำหรับ "สินค้าไม่จำเป็น" อยู่ที่ 10 โบลิวาร์ต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่ 3 กำหนดไว้สำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งถูกจำกัดเข้มงวด ทำให้ราคาดอลลาร์ในตลาดมืดถีบตัวสูงถึง 4,283 โบลิวาร์ต่อ 1 ดอลลาร์ ในอัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินโบลิวาร์มีค่าสูงเกินจริงมาก แต่ในอัตราแลกเปลี่ยนของตลาดมืดโบลิวาร์แทบเป็นเศษกระดาษ รัฐบาลใช้วิธีขึ้นค่าแรงไปเรื่อย ๆ และพิมพ์เงินออกมาเพื่อให้มีเพียงพอต่อการหมุนเวียนในตลาด เสี่ยงต่อภาวะ "ไฮเปอร์อินแฟลตชั่น" ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้แรงงานที่ทำงานด้วยค่าแรงขั้นต่ำ จะมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 200,021 โบลิวาร์ แต่เซนดาสระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าพื้นฐานแต่ละครัวเรือนตกราวเดือนละ 772,614 โบลิวาร์หรือ 4 เท่าของเงินเดือน แถมยังแทบไม่มีขาย หลังสุดรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก 60% แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจเลวร้ายลงไปอีก ข้อมูลของซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมระบุว่า ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าปี 2018 เงินเฟ้อในเวเนซุเอลาจะเพิ่มเป็น 2,000% ถึงตอนนั้นวิกฤตเวเนซุเอลาก็จะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจระดับโศกนาฏกรรมโดยแท้จริง ๆ Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1494409469
เพิ่มเติม IMF Predicts Venezuela Inflation at 2000% by 2018- https://financialtribune.com/articles/world-economy/64012/imf-predicts-venezuela-inflation-at-2000-by-2018
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 08:13:35 AM
