Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุน => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 09:08:35 PM
-
พฤติกรรมการลงทุน (Behavior)
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา ตั้งแต่เกิดก็มีพันธุกรรมที่ต่างกัน และเมื่อเริ่มเติบโตขึ้นมาก็ได้รับประสบการณ์และการเลี้ยงดูที่ต่างกัน ดังนั้นคนแต่ละคนจึงมีกรอบความคิดที่ไม่เหมือนกัน ด้วยความแตกต่างกันนี้ทำให้นักการตลาดพยายามที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งกำหนดการแสดงออก – การตัดสินใจ โดยพยายามใช้หลักการทางจิตวิทยา (Psychology) มาประยุกต์ใช้ ซึ่งจะขอกล่าวแต่เพียงหลักการแต่จะไม่ลงไปในรายละเอียด

ภาพที่แสดงคือ กระบวนการตอบสนองของคนทุก ๆ คน ซึ่งรายละเอียดในภาพคงอธิบายตัวมันเองอยู่แล้วว่า การกระทำของทุก ๆ คน เกิดจากสิ่งที่มาเร้าผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้ามาผ่านกระบวนการตัดสินใจในสมอง จึงได้เป็นคำตอบที่แสดงออกไปเป็นพฤติกรรม โดยรายละเอียดแล้วนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา ต่างพยายามหาความสัมพันธ์ของสิ่งเร้า (Input) และการแสดงออก (Output) ที่ผ่านกระบวนการคิดของสมอง แต่ปรากฏว่าความสัมพันธ์ที่ได้ไม่เหมือนกันในแต่ละคน และยังไม่เหมือนกันในคน ๆ เดียว เมื่อเวลาผ่านไป การศึกษากระบวนการคิดก็ลงลึกไปถึง การทำงานของจิตใต้สำนึกซึ่งจะมีความซับซ้อนมาก หากท่านสนใจอาจหาอ่านได้ในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา หรือพฤติกรรมศาสตร์ต่าง ๆ
กระบวนการตัดสินใจของนักลงทุนโดยพื้นฐานแล้ว ก็จะมีลักษณะเหมือนกับการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งอาจอธิบายได้ตามภาพดังนี้

การศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนไม่ใช่สิ่งง่าย ๆ เลย เพราะปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอก (สิ่งเร้า) และภายใน (กระบวนการตัดสินใจ) มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยเพียงหนึ่งอย่างเปลี่ยนไป การตัดสินใจก็เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น
คุณต่าย เคยคิดจะซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท แต่เมื่อหุ้นมีการตดลงอย่างรุนแรง 17 จุด จาก 392 จุด ไปอยู่ที่ 375 และหุ้น A ก็ตกจาก 11 บาทเหลือ 8 บาท คุณต่ายกับกลัว และเปลี่ยนใจที่จะไม่ซื้อแล้ว การตัดสินใจของคุณต่าย ในครั้งที่ 2 ต่างจากครั้งแรกเพราะ ปัจจัยภายนอกบางตัวได้เปลี่ยนไป เราไม่สามารถบอกได้ว่าการตัดสินใจครั้งที่ 2 ของคุณต่ายถูกต้องหรือไม่ เพราะหุ้นมีโอกาสขึ้นและลงเท่า ๆ กัน (ตามทฤษฎี ตลาดที่มีประสิทธิภาพ) สิ่งที่เราสนใจคือ ทำไมคุณต่ายถึงไม่ซื้อ ในเมื่อราคาก็ต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้ในครั้งแรก และเมื่อไรคุณต่ายจะกลับมาซื้อ?
ที่กล่าวมานั้นคือหลักพื้นฐานของการเริ่มทำความเข้าใจพฤติกรรมของคน ในการที่เราจะสามารถคาดเดาพฤติกรรมหรือการตัดสินใจของคนให้ถูกต้อง เราจำเป็นจะต้องมีข้อมูลจำนวนมหาศาล และระบบการติดตามตรวจสอบข้อมูลนั้นอยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ฉะนั้นในการทำการตลาด นักการตลาดจึงยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อการทำ Research ไม่ว่าจะเป็นการ ทำสำรวจ (Survey) การซื้อข้อมูลจากสถาบันวิจัยต่าง ๆ เพื่อให้รู้ถึงความต้องการล่าสุดของผู้บริโภค ซึ่งแม้จะเสียเงินไปจำนวนมาก ความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ก็ยังไม่ 100%
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น ยังไม่มีผู้ใดมีการเก็บข้อมูลและทำการศึกษาพฤติกรรมนักลงทุนกันอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลที่กล่าวถึงอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ข้อมูลการตัดสินใจซื้อขายจริง ๆ (Actual Response) ผู้ที่จะสามารถเก็บข้อมูลประเภทนี้ได้คือ โบรกเกอร์ แต่อาจจะต้องมีการลงทุนติดตั้ง ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บฐานข้อมูลการซื้อขาย และสิ่งเร้าต่าง ๆ แล้วนำมาประมวลผลหาเพื่อรูปแบบการตัดสินใจ
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องของข้อมูลการซื้อขายจริง (Actual Response) นั่นคือ กราฟทางเทคนิคต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในข้อมูลที่เป็นการสะท้อนพฤติกรรมการลงทุนจริง ๆ ที่เราได้ใช้กันมานาน หากท่านได้ศึกษากลยุทธ์การลงทุนขั้นสูง ๆ ไป จะพบว่า สิ่งที่ผู้แกร่งกล้าวิชามักจะใช้กันคือ กราฟทางเทคนิคซึ่งอาจเป็นการคิดค้นรูปแบบขึ้นมาใหม่ หรือใช้ในสิ่งที่มีอยู่แล้ว อันที่จริงกราฟทางเทคนิคคือ สิ่งหนึ่งที่เป็นการบันทึกพฤติกรรมการลงทุนของนัก-ลงทุนในช่วงที่ผ่าน ๆ มาว่า กำไรเท่าใดเริ่มขาย หรือลง เท่าใดเริ่มซื้อ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาหารูปแบบของพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลักสถิติอย่างการหาค่าเฉลี่ย หรือการลากเส้นตัดต่างๆ เพื่อหารูปแบบ รูปกราฟที่ได้มาจึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้นจึงกลายมาเป็นเทคนิคการมองแบบหนึ่ง เช่น หุ้นตัวหนึ่งเมื่อตกลงมา 20% คนจะกลับเข้าไปซื้อ และเมื่อมันเกิดขึ้นบ่อยๆ เราจะได้รูปเป็นอย่างรูป A ที่สามารถลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดเพื่อคาดเดาอนาคตได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือรูป B เหตุที่กรอบการแกว่งตัวแคบลง อาจเป็นเพราะมีปัจจัยภายนอกบางอย่างทำให้นักลงทุนคิดที่จะทำกำไรเร็วขึ้น เช่นความไม่แน่นอนของตลาดในช่วงนั้น และเมื่อนักลงทุนเรียนรู้ว่าต้องทำกำไรเร็วขึ้นในแต่ละรอบ การตอบสนองก็จะเร็วขึ้นในแต่ละรอบเพื่อให้เร็วกว่าคนอื่น สิ่งที่เกิดคือ กรอบการแกว่งตัวก็จะแคบลง ซึ่งนักวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงพยายามลากเส้นเพื่อหารูปแบบ
แม้กราฟทางเทคนิคจะเป็นหนึ่งในข้อมูลที่สะท้อนการตัดสินใจของนักลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ แต่ตัวรูปกราฟไม่อาจสามารถบอกได้ว่า สิ่งเร้าที่มากระทบตอนนั้นคืออะไร ดังนั้นบางครั้งสัญญาณทางเทคนิคอาจบอกไม่ได้เมื่อปัจจัยภายนอกตัวใหม่เกิดขึ้น (อาจสะท้อนได้บ้างเช่น หากมีข่าวดีใหญ่ ๆ นักลงทุนจะซื้อมากขึ้น หุ้นจะปรับตัวขึ้นมากและผ่านแนวต้านไป สัญญาณทางเทคนิคอาจสะท้อนข่าวดีนั้นว่าตอนนี้เป็นสัญญาณซื้อนะ แต่ไม่อาจบอกได้ว่าช่วงการทำกำไรสำหรับข่าวดีประเภทนี้คือ เท่าไร)
สิ่งที่กล่าวมาไม่ได้เป็นการวิจารณ์เรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่ต้องการให้เห็นความสำคัญของการเข้าใจพฤติกรรมการลงทุน ซึ่งท่านอาจจะประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้าง และมองไปในอนาคตได้
2. ข้อมูลความคิดเห็น (Opinion) ซึ่งอาจจะทำการเก็บด้วยการออกแบบสอบถามนักลงทุนต่าง ๆ ว่ามีลักษณะการเล่นอย่างไร แล้วนำมาประมวลผลด้วยหลักการทางสถิติ อันที่จริงทางผู้เขียนเคยออกแบบสอบถาม เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนไปในห้องค้า จำนวน 50 ชุด เพื่อจะดูพฤติกรรมของนักลงทุน ในหัวข้อต่าง ๆ ต่อไปนี้
วิธีการวิเคราะห์ที่จะซื้อหุ้นตัวหนึ่ง
สัดส่วนหุ้น สั้น : กลาง : ยาว : เงินสด
ผลกำไรที่พอใจจะขาย
การตอบสนองต่อข่าว ฯลฯ
ซึ่งข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก แต่เนื่องจากจำนวนข้อมูลที่ได้มีจำนวนน้อยมากหากเปรียบเทียบกับจำนวนนักลงทุนทั้งหมด (Population of Investor) ข้อมูลที่ได้มาจึงถือว่าไม่พอที่จะกล่าวสรุปใด ๆ เช่นตอนนั้น (ม.ค. 45) นักลงทุนกว่า 62% พอใจกับกำไร เพียง 10% ในระยะเวลา 1 เดือน นั้นคือ หากหุ้นขึ้นไปประมาณ 10% ในระยะเวลาน้อยกว่า 1 เดือน นักลงทุนรายย่อยมักจะซื้อกัน จะมีการแกว่งตัวขึ้น โดยมีช่วงการขึ้นประมาณ 10% แล้วลงมา 2-3% แล้วแกว่งขึ้นไปอีก 10% นั้นคือภาพในสมัยนั้น แต่ ณ ขณะนี้เราคิดว่าความคิดของนักลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนอาจมีความมั่นใจในอนาคตมากขึ้น จึงอาจมีช่วงการทำกำไรที่มากขึ้นเช่น 15-20% จึงจะขายเป็นต้น
แม้ข้อมูลจากแบบสอบถามจะมีประโยชน์มาก แต่ในทางปฏิบัติ เราไม่สามารถทำแบบสอบถามได้ สิ่งที่เราทำได้คือ การสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา การพูดคุยกับคนหลาย ๆ คนในห้องค้า ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ได้และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักการตลาดเก่ง ๆ มักนำมาใช้กัน
ประสบการณ์จากการสังเกตจะทำให้คุณสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของนักลงทุนได้ ยกตัวอย่างกลุ่มที่มีรูปแบบพฤติกรรมไม่ซับซ้อนนัก อย่างกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการกำไรในระยะยาว ซึ่งผู้เล่นที่มีบทบาทมากในกลุ่ม “ยาว” คือนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากในกลุ่มนี้หวังกำไรในระยะยาว การซื้อ – ขายหลัก ๆ จึงเกิดขึ้นไม่บ่อย วิธีการตัดสินใจก็จะมีเหตุมีผลมากกว่ากลุ่มอื่น เช่น การดูภาพในระยะยาว อย่างเศรษฐกิจใน 2-3 ปีข้างหน้าเป็นต้น ผลของการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลก็คือ การกระทำตามเหตุผลนั้น อย่างเช่นการขายแบบหนัก ๆ เมื่อเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณร้าย (เช่นเมื่อปี 40 – 41) หรือการกลับมาซื้อเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นหากท่านเข้าใจทั้งหุ้นที่ท่านเล่นอยู่และเข้าใจผู้ร่วมเล่น ท่านก็จะรู้ทิศทางในภาพรวมได้ แม้บางครั้งจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเข้ามาทำให้ภาพที่เห็นเลือนรางไปบางขณะ
โดยสรุปการมองแบบใช้จิตวิทยา คือ การเห็นภาพของตลาดหุ้นในมุมกว้าง เข้าใจว่าตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงจากความต้องการซื้อ- ความต้องการขาย เช่น ที่ระดับดัชนี 300 จุด นาย “รายย่อย” คิดว่าถ้าหุ้นขึ้นไปที่ 350 จะขายแน่ แต่เมื่อหุ้นพุ่งไปที่ 320 ใน 2 วัน นาย รายย่อยกลับขายออกไปก่อน หุ้นจึงปรับตัวลงมาที่เดิม แม้พื้นฐานจะเหมือนเดิม แต่หากเราเข้าใจพฤติกรรมก็จะรู้ว่าต้องขายไปก่อนแล้วกลับมารับใหม่ เพราะหุ้นปรับตัวขึ้นแรงไป
การมองพฤติกรรมของคนอื่นต้อง คิดว่าเราเป็นคน ๆ นั้น เช่น เรามีเงินจำนวนมากเหมือนรายใหญ่ และในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเราเป็นรายใหญ่เราจะทำอย่างไร
วิธีการตัดสินใจโดยใช้จิตวิทยา
การมองหุ้นโดยใช้จิตวิทยา โดยทฤษฎีแล้วการลงทุนที่ดีต้องไม่ทำตามสิ่งที่คนส่วนมาก (มวลชน) ทำ แต่ต้องคิดและทำก่อนมวลชนทั้งหลาย 1 ก้าว เช่นเมื่อหุ้นขึ้นมามาก ๆ ทุกคนจะมองโลกในแง่ดีมาก ข่าวที่ออกมาก็จะมีแต่ข่าวดี มองไปทางใดก็เห็นแต่อนาคตที่สดใส แต่หากเรามองพฤติกรรมของคนจะรู้ว่า เมื่อใดที่มีคนเริ่มขาย คนอื่น ๆ ก็จะแย่งกันขายตาม แม้อนาคตยังคงดูสดใสก็ตาม ดังนั้นเราจะมองเห็นความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ แต่การที่จะบอกว่าเมื่อใดคือ จุดสูงสุดคงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะมันขึ้นอยู่กับสภาวะ “สิ่งเร้า” ในขณะนั้น ๆ ที่ทำให้คนอยากซื้อหรืออยากขาย หากมีข่าวร้ายออกมาแบบไม่คาดคิด ตลาดก็จะหมดรอบแบบไม่ตั้งตัวเช่นกัน โดยทฤษฎีเราควรจะขายออกไปบ้างเมื่อหุ้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตัดใจขาย เมื่อคนอื่น ๆ ยังคงไล่ซื้อ และสภาวะตลาดยังดูสดใสมาก ๆ (จากการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด 10 ปีที่ผ่านมา ในสภาวะที่ตลาดสดใสสุด ๆ ทุกคนมองแต่แง่ดี มีแต่คนซื้อ เมื่อนั้นมักจะใกล้เป็นจุดสูงสุดแล้ว เพราะเมื่อทุกคนซื้อกันหมด แล้วใครจะมาซื้อต่อไปล่ะ?)
การปฏิบัติให้แตกต่างจากมวลชนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะเราและท่านก็คือ มวลชน ซึ่งคนทั่วไปเมื่อได้รับรู้สิ่งเร้าที่เหมือนกัน การตอบสนองมักจะออกมาในทางที่คล้ายกัน การจะซื้อขายโดยมีสติสัมปชัญญะ เล่นตามแผนการนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก คนส่วนมากก็ยังคงมั่นใจในความคิดความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้น การมองหุ้นโดยใช้จิตวิทยา จะต้องเป็นการแยกสมองออกจากความรู้สึกโดยมีวิธีการทำดังนี้