Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => การเล่นหุ้นและกำหนดกลยุทธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 08:16:01 PM
-
สไตล์การเล่นหุ้นตามลักษณะตลาด
การเล่นหุ้นอีกแบบหนึ่ง คือ การเล่นหุ้นตามสภาพตลาดหุ้น ทั้งนี้การจัดแบ่งสภาพตลาดหุ้นที่นิยมทำกัน จะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะด้วยกัน โดยลักษณะแรกคือ ช่วงที่ตลาดคึกคัก เรียกว่า ตลาดกระทิง (Bull Market) เป็นช่วงที่ราคาหุ้นและมูลค่าการซื้อขายมีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะตลาดที่สองคือ ช่วงที่ตลาดตกต่ำ หรือตลาดหมี (Bear Market) สุดท้ายคือช่วงที่ตลาดขึ้นลงในช่วงแคบ ๆ หรือเรียกว่า ตลาดไซด์เวย์ (Sideways Market) อันเป็นช่งที่ราคาซื้อขายหุ้นมีการขึ้นลงอยู่ในช่วงจำกัด
1. สภาพตลาดกระทิง
สภาวะต่าง ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ภาวะตลาดกระทิงระยะแรก คนส่วนใหญ่และนักเก็งกำไรต่างก็ไม่มั่นใจในตลาด เนื่องจากราคาหุ้นต่างๆ ได้ตกต่ำลงมาก และไม่มีทีท่าจะขึ้น แต่นักลงทุนมีความเห็นตรงกันข้ามและรู้สึกมั่นใจในตลาดเมื่อก้าวเข้าสู่ระยะที่สอง คนส่วนใหญ่และนักเก็งกำไรก็ยังไม่มั่นใจตลาดนัก แต่นักลงทุนก็ยังเลือกเก็บหุ้นดีต่อไปในระยะที่สาม เมื่อราคาหุ้นเริ่มสูงขึ้น คนส่วนใหญ่และนักเก็งกำไร เริ่มมั่นใจในภาวะตลาดและแย่งกันซื้อหุ้น ราคาหุ้นเริ่มสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมากแล้ว นักลงทุนซึ่งตุนหุ้นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จะขายหุ้นของตนออกมาเพื่อทำกำไร
เงื่อนไขที่บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าเป็นตลาดกระทิงแล้ว
- ค่าพีอีของหุ้นอยู่ในระดับต่ำ
- บริษัทในตลาดหุ้น มีผลกำไรจากการดำเนินงานดีขึ้น
- บริษัทในตลาดหุ้น มีเงินสดอยู่ในมือมาก และอาจมีการซื้อหุ้นคืน
- นักลงทุนในตลาดหุ้น มีเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นมาก (High Liquidity)
- มีการเข้าซื้อกิจการ ปรากฏให้เห็น (Merger & Acquisition)
- นักลงทุนมีการเล่นหุ้นอย่างระมัดระวัง
ช่วงตลาดเปลี่ยนจากกระทิงเป็นหมี
- ราคาหุ้นปรับตัวสูงมาก มีแต่คนได้กำไร
- มูลค่าการซื้อขายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
- หุ้นที่ไม่มีค่ามีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- นักลงทุนยังคงมีความหวังว่าหุ้นจะขึ้นต่อ และถือหุ้นไว้เต็มพอร์ต
การลงทุนในตลาดกระทิง
ในช่วงที่ตลาดกระทิงในช่วงแรก และช่วงที่สอง ช่วงนี้กลยุทธ์ในการเล่นหุ้น สามารถทำได้อย่างไม่รีบร้อน เนื่องจากนักเก็งกำไรและคนส่วนใหญ่ยังคงไม่มั่นใจต่อภาวะตลาดว่าจะกลับได้ในรยะแรกอาจซื้อหุ้นเข้ามาในพอร์ต 10%-20% ของพอร์ต และเริ่มเพิ่มเป็น 40%-50% เมื่อมีเครื่องชี้ให้เห็นภาวะกระทิงชัดเจนขึ้น ในระยะสองก็อาจซื้อหุ้นเข้าพอร์ต 80%-90% เพื่อเพิ่มมูลค่าพอร์ตเมื่อราคาหุ้นขยับขึ้นไป แต่เมื่อเข้าระยะสามของตลาดกระทิงก็จะสังเกตได้ว่า ราคาหุ้นสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงไปมากจึงควรจะขายหุ้นออกเพื่อถือเงินสดมากขึ้น
หุ้นที่ควรเลือกซื้อในช่วงแรกของตลาดกระทิง
- หุ้นซึ่งมีพื้นฐานดี แต่ราคาอ่อนตัวลงมามาก
- หุ้นที่มีทุนจดทะเบียนน้อย หรือมีหุ้นหมุนเวียนในตลาดไม่มากนักเพราะหุ้นพวกนี้จะตีกลับได้ง่าย โดยไม่ต้องอาศัยแรงซื้อมากนัก
- หุ้นที่มีค่าพีอีต่ำ
- หุ้นที่กิจการมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้คือ ลดค่าใช้จ่ายปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้น ขยายตลาด พยายามโฆษณาหรือส่งเสริมการขายสินค้าในตลาดให้มากขึ้น และกำลังพลิกฟื้นกิจการที่ขาดทุนมาเป็นกำไร
2. สภาพตลาดหมี
ภาวะต่าง ๆ ในภาวะตลาดหมีระยะแรกนั้นจะเป็นระยะต่อเนื่องกับตลาดกระทิงระยะสาม กล่าวคือ คนส่วนใหญ่และนักเก็งกำไรยังมีความมั่นใจในตลาดอยู่ แต่นักลงทุนไม่มั่นใจในภาวะตลาดเสียแล้ว ดังนั้นจึงขายหุ้นต่อไปอีก จนเข้าสู่ระยะสองของตลาดหมึ่งมีลักษณะเดียวกันกับระยะที่หนึ่งคือนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจในตลาด แต่ก็มีบางส่วนทราบข่าวการขายหุ้นตามทำให้ราคาหุ้นเริ่มอ่อนตัวลงอีก เมื่อนักเก็งกำไรเห็นว่าตลาดลงแน่แล้ว ก็ไม่กล้าเข้าซื้อหุ้น บางรายก็ขายหุ้นตามแรงขายเพื่อลดการขาดทุน หากราคาหุ้นนิ่งเมื่อใดและหุ้นตัวนั้นมีพื้นฐานดีก็อาจจะกลับเข้ามาซื้อและทำให้การตกลงเริ่มหยุดแต่จะเข้าสู่ ภาวะซึม ในช่วงซึมนี้นักลงทุนจะเริ่มมองหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี และเริ่มเก็บซึ่งตลาดคือ การกลับสู่สภาพตลาดกระทิงในช่วงแรก ๆ อีกครั้ง
เงื่อนไขที่บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าเป็นตลาดหมีแล้ว
- รัฐบาลมีการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างสูง (เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าหมาย)
- ประเทศมีการขาดดุลการค้าค่อนข้างสูง (การส่งออกไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น)
- อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูง หรือมีแนวโน้มสูงขึ้นจากนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง (นักเล่นหุ้นเปลี่ยนทิศทางไปฝากเงินกับสถาบันการเงินแทน)
- กิจการในตลาดหลักทรัพย์มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนสูง
- อัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้น
การลงทุนในช่วงตลาดหมี
ในภาวะที่เป็นตลาดหมีระยะแรก นักลงทุนจะเริ่มไม่มั่นใจในภาวะตลาดและหุ้นหลายตัว เนื่องจากคนส่วนใหญ่และนักเก็งกำไรได้เข้ามาแย่งกันซื้อ ทำให้ราคาหุ้นสูงมาก กลยุทธ์ที่ควรปฏิบัติก็คือ ขายหุ้นที่ราคาสูงขึ้นจนมีลักษณะ Overbought และถือเงินสด ไว้เพื่อช้อนซื้อหุ้นราคาถูก ในช่วงนี้อาจจะทำใจได้ยากหน่อยเพราะคนส่วนใหญ่ยังคงรู้สึกมั่นใจในตลาดแต่นักลงทุนกลับขาย บางครั้งขายแล้ราคายังคงไปต่อ นักลงทุนควรทยอยลดพอร์ต ให้เหลือหุ้น 50% - 60% และเมื่อสัญญาณการปรับตัวเริ่มมา ให้ลดเหลือ 20% - 30% และเมื่อหุ้นเริ่มตกแรงให้ล้างพอร์ตไปเลยหรือปรับไปถือหุ้นในกลุ่มตั้งรับ (Defensive Stock) แล้วรอให้ตลาดซึมซับความเลวร้ายต่าง ๆ จนไร้ความรู้สึกจากข่าวร้ายนั้นคือ สัญญาณการกลับเข้าทยอยเก็บของอีกครั้ง
หุ้นที่ควรเลือกขายออกในช่วงตลาดหมี
- หุ้นที่มีค่าพีอีสูงมาก ๆ
- หุ้นที่กิจการจะได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจถดถอย (Cyclical Stock)
หุ้นปั่น
การเล่นหุ้นในทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว นอกเหนือจากการซื้อขายแบบตรงไปตรงมา ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับราคาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือการปั่นหุ้น (Manipulation) ซึ่งการปั่นหุ้นนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่ตลาดหุ้นมาตลอด ไม่ว่าที่ใด ๆ ในโลก แต่ทางตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีการตรวจสอบการเข้าซื้อขาย เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ ที่อาจต้องตกเป็นเหยื่อ
การปั่นหุ้น ชื่อก็บ่งบอกให้คิดถึงการปั่นจักรยาน หรือการปั่นใบพัด ที่ต้องออกแรงปั่นให้มันเคลื่อนไหว หรือบินไปบนท้องฟ้า แต่เมื่อหมดแรงปั่น สิ่งที่ถูกปั่นก็จะค่อยๆ หยุด ถ้าเป็นใบพัดก็จะค่อยๆ ตกลงมา
การแสวงหากำไรจากการปั่นหุ้น มักมาจากวัตถุประสงค์หลัก ๆ 3 ประการด้วยกันคือ
1. เป็นการเจตนาทำราคาหุ้นให้สูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยผู้ปั่นหวังที่จะได้กำไรจากการขายหุ้นในระดับราคาสูง ๆ นั้น โดยทั่วไปวัตถุประสงค์นี้มักทำกันในช่วงตลาดคึกคัก
2. รักษาราคาหุ้นไว้ ณ ระดับหนึ่ง หรือไม่ให้ตกไปจากระดับหนึ่ง มักจะเกิดกับหุ้นที่เพิ่งเข้าตลาดใหม่ๆ โดยผู้ดูแลพยายามรักษาไม่ให้หุ้นของตนลดต่ำไปจากระดับหนึ่งจนคนทั่วไปเกิดความมั่นใจ ทั้งนี้ส่วนใหญ่มักหวังผลระยะยาวคือ เพื่อหาโอกาสปั่นขึ้นเมื่อช่วงจังหวะเอื้ออำนวย
3. กดราคาให้ต่ำลง โดยหวังว่าจะซื้อหุ้นดังกล่าวในราคาต่ำกว่าที่ขายไปในบางครั้งผู้ปั่นอาจพยายามกดราคาหุ้นลงชั่วคราวเพื่อให้ผู้ขายรายอื่นตกใจขายให้แก่ตนในราคาถูก เมื่อผู้ปั่นหุ้นสามารถสะสมหุ้นได้มากเพียงพอแล้ว การคิดจะปั่นราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปในช่วงต่อมาก็จะทำได้สะดวกโดยไม่มีแรงขายมากนัก ในบางกรณีการกดราคาหุ้นลงอาจเกิดจากการที่ผู้ปั่นหุ้นต้องการหยั่งตลาด หรือหยั่งท่าทีก่อนการตัดสินใจปั่นขึ้นไปใหม่ ให้สูงจากระดับเดิมขึ้นไปอีก ลักษณะหลังนี้มักเกิดในช่วงภาวะกระทิง โดยเฉพาะในช่วงจังหวะที่หุ้นนั้นมีการขยับตัวขึ้นเร็วจนเกินไป จนผู้ปั่นหุ้นไม่แน่ใจว่าควรจะปั่นต่อไปหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าแรงขายหุ้นในระดับราคาหุ้นที่สูงกว่านั้นจะมีมากน้อยเพียงใด จึงต้องมีการหยั่งเชิงตลาดก่อน