Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => การเล่นหุ้นและกำหนดกลยุทธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 08:12:34 PM
-
ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น
1. มีมูลค่าทางการตลาด (Market Capitallization) ต่ำ จะได้ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการไล่ราคา
2.มีราคาต่อหุ้นต่ำ หรือหากราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี เพราะถึงแม้ราคาถูกไล่มาจาก 3 บาท มาอยู่ที่ 6 บาท แต่นักลงทุนยังรู้สึกว่าราคายังไม่แพง เพราะยังคงต่ำกว่าราคาพาร์
3. เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันไม่ได้เล่น เพราะหากนักลงทุนสถาบันถือหุ้นอยู่การควบคุมปริมาณและราคาจะทำลำบาก แต่ปัจจัยพื้นฐานต้องมีอยู่บ้างเพราะนักลงทุนรายย่อยเดี๋ยวนี้ฉลาดขึ้น มักไม่ตามในหุ้นที่เสี่ยงเกินไป
จังหวะที่ใช้ในการปั่นหุ้น
1. เมื่อหุ้นตัวนั้นราคาตกลงมาจนราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ในภาวะตลาดขาลงนักลงทุนรายใหญ่จะทยอยสะสมหุ้นแบบไม่รีบร้อน เมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้น จะมีการไล่ราคาหุ้นอย่างรวดเร็วแล้วทยอยขาย ปีหนึ่งทำได้สัก 2-3 รอบก็คุ้มค่าต่อการรอคอยแล้ว
2. เมื่อมีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น โดยทั่วไปนักลงทุนรายใหญ่จะรู้เห็นข่าววงในก่อน และซื้อหุ้นเก็บไว้ เมื่อข่าวดีออกมาจะมีการไล่ราคาแล้วขายหุ้นออกไปหรือในทางตรงกันข้ามหากมีข่าวร้ายที่มีผลเช่น Warrant จะหมดอายุ, ข่าวขาดทุนรายไตรมาส ข่าวบริษัทลูกขาดทุนจะเป็นการปั่นหุ้นรอบสั้น ๆ เพื่อออกของหรือหาก ได้ปล่อยขายออกไปแล้วจะใช้วิธีทุบหุ้นเพื่อเก็บของถูกไว้รอปั่นในรอบถัดไป
3. ปลายตลาดขาขึ้น เมื่อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ทุกกลุ่มถูกนักลงทุนไล่ซื้อจนทำให้หุ้นขึ้นมาสูงหมดแล้ว โดยทั่วไปจะไล่เรียงจากหุ้นกลุ่มใหญ่ ๆ จนนักลงทุนหมดตัวเล่น รายใหญ่จะเข้ามาปั่นหุ้นตัวเล็ก ๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีราคาต่ำ รายย่อยจะเข้ามาผสมโรงด้วยเพราะเห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก ซึ่งเมื่อหุ้นตัวเล็กถูกไล่ราคาขึ้นจะเป็นสัญญาณหมดรอบ
ขั้นตอนในการปั่นหุ้น
1. เลือกหุ้น นอกจากเลือกหุ้นตามที่ได้กล่าวมาแล้วยังจะต้องมีการสืบเสาะดูว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่บ้าง สัดส่วนการถือหุ้นเป็นอย่างไร
2. การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4-5 โบรกเกอร์ในชื่อที่แตกต่างกัน โดยใช้ชื่อของคนที่ไม่เป็นที่รู้จักแต่ไว้ใจได้ เพื่อป้องกันการโยงใยมาถึงตนและ หลีกเลี่ยงกฎการถือหุ้นเกิน 5% ของทางตลาดที่จะต้องแจ้งให้ตลาดทราบ
3. การเริ่มเก็บหุ้น จะมีตั้งแต่การทยอยเก็บในช่วงที่หุ้นไม่เป็นที่สนใจของใคร ซึ่งจะมีเวลาในการเก็บนานเพื่อให้ได้หุ้นตามที่ต้องการ แต่หากนักปั่นหุ้นรู้ว่าหุ้นตัวนี้กำลังมีข่าวดี เช่นรู้ข่าวผลประกอบการ ข่าวการร่วมทุน หรือข่าวเพิ่มทุนแถม วอร์แรนท์ นักปั่นหุ้นจะมีเวลาในการเก็บของอยู่ไม่มาก จึงต้องใช้วิธีการกดราคาหุ้น โดยการเทขายล็อตใหญ่ให้พวกเดียวกัน ทำให้รายย่อยซึ่งมักมีอารมณ์อ่อนไหวเทขายหุ้นออกมา บางครั้งก็มีการซื้อแบบกระชากหุ้นขึ้น สัก 2% - 3% ซึ่งจะทำให้รายย่อยที่ดูอยู่ฉวยโอกาสขายออกมาทำกำไร การเก็บหุ้นแบบนี้รายใหญ่จะคอยดูแลไม่ให้หุ้นวิ่งขึ้นเกิน 10% เพราะจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และจะใช้เวลาเพียง 2-3 วันก็จะเก็บหุ้นได้ครบตามต้องการ
4. การไล่ราคาหุ้น การไล่ราคาจะต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน เพราะหากจังหวะไม่ดีรายย่อยจะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น แต่หากหาจังหวะหรือเหตุผลมารองรับได้ รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัวรายใหญ่ก็ขายหุ้นไปหมดแล้ว
วิธีการสังเกตจึงต้องมีการดูการซื้อขายที่หน้าจอเอง นักลงทุนทางบ้านจะไม่เห็นภาพและหลงกลได้ง่าย หากท่านเป็นนักลงทุนในห้องค้าอาจสังเกตความผิดสังเกต เช่น การไล่ราคาอย่างรุนแรง และปริมาณการซื้อขายมากขึ้น การใส่เข้า ถอนออกของ Bid หรือการเคาะนำครั้งละ 100 หุ้น 2-3 ครั้งแล้วไล่ยกแถว เป็นต้น
วิธีการเล่นตามน้ำคือ ให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย หากปริมาณน้อยซื้อได้ หากปริมาณซื้อขายมาก ให้ขาย หรือเมื่อหุ้นมีการปรับตัวขึ้นก่อนข่าวดีประกาศเมื่อข่าวออก ทันทีที่รู้ให้ขายทิ้งเพราะสิ่งดี ๆ กำลังจะหมดไปแล้ว
เหตุผลที่มักจะใช้กัน จะมีอยู่หลัก ๆ 3 เรื่อง
1. ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น
2. กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี
3. มีข่าวลือว่าหุ้นตัวนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น
การไล่ซื้อจะทำโดยการเคาะซื้อครั้งละมาก ๆ แบบยกแถวแล้มีการเสนอซื้อ Bid เข้ามายันหลายแสนหุ้นทำให้ดูว่าราคาหุ้นคงจะไม่ลง แต่เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปในระดับหนึ่งจะมีการหยุดเพื่อเป็นการแหย่รายย่อย รายย่อยจะเริ่มเทขายบ้าง แต่นักปั่นจะยันหุ้นไว้ไม่ให้ลง จริง ๆ แล้วจำนวนหุ้นส่วนมากจะอยู่ในมือรายใหญ่ แรงขายจึงมีไม่มากนัก หลังจากที่รายย่อยขายก็ไม่ลงทั้งความมั่นใจและสัญญาณทางเทคนิคก็เริ่มดีขึ้น รายใหญ่จะเริ่มไล่ราคาขึ้นไปอีกครั้งโดยเป้าหมายจะอยู่ประมาณ 25% - 30% แต่หากสภาพตลาดดี อาจดันราคาขึ้นไป 50%-100% ทีเดียว
ช่วงที่ไล่ราคาขึ้น รายใหญ่มักจะมีการตั้งขายเอง และไล่ซื้อหุ้นของตัวเองเพื่อทำให้ราคาขึ้น แต่หากมีหุ้นรายย่อยติดมามากจะมีการค่อย ๆ เทขายออกบ้าง ทีละน้อยเพื่อผ่อนภาระลง
4. การปล่อยหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นมาได้สัก 80% ของราคาเป้าหมายแล้ว ระยะทางที่เหลือ 20% จะเป็นช่วงการทยอยปล่อยของออก ซึ่งจะเป็นช่วงยากที่สุดของการปั่นหากรายย่อ จับทางได้ถูกปล่อยขายหุ้นออกมาก่อนหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมา นักปั่นหุ้นเองก็จะติดอยู่บนยอดได้ต้องทำการปั่นขึ้นอีกครั้งเพื่อปล่อยของออก
วิธีการปล่อยของจะเริ่มจากการทำการโยนหุ้นไปมาและดันราคาขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ต้องทำปริมาณการซื้อขายให้มาก เพื่อล่อรายย่อยให้สนใจในการดันราคาหุ้นจะยังทำเหมือนเดิมคือ การไล่ซื้อยกแถว แล้วตั้งซื้อยันไว้เป็นแสน ๆ หุ้น ซึ่งก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นหากมีคนของลงมา แต่ก็ต้องเสี่ยง และเมื่อเริ่มมีคนหันมาเก็งกำไรมากขึ้นก็เริ่มผ่อนการซื้อ จะซื้อก็ต่อเมื่อเป็นหุ้นที่ตัวเองตั้งขายไว้ โดยการเช็คกันเทรดเดอร์ว่าถึงคิวหรือยัง เพื่อจะไม่ต้องรับซื้อหุ้นเพิ่ม
การตั้งซื้อเมื่อเริ่มมีคนมาซื้อเพิ่มก็เริ่มจะมีการถอดรายการตั้งซื้อออก แล้วใส่เข้าไปใหม่เพื่อดันให้รายการซื้อของรายย่อยอยู่ในอันดับต้น ๆ รายย่อยส่วนมากจะไม่ไล่ราคาแต่จะเป็นการตั้งซื้อรอ ดังนั้นหากรายใหญ่ต้องการขายแบบไม่ให้ราคาตกลง จะต้องมีการไล่ซื้อหุ้นของตัวเองให้ราคาขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น แล้วทยอยขายไป แล้วไล่ซื้อแล้ว ทยอยขาย และในวันรุ่งขึ้น ข่าวการดีก็จะประกาศ หรืออาจจะเป็นบทวิเคราะห์ของโบร์กเกอร์ซึ่งมักสรรหาเหตุผลมาเสริมการขึ้นของหุ้นปรับตัวขึ้นสูง ๆ รายย่อยจึงเริ่มมั่นใจและเข้ามาซื้อขายมากขึ้น เมื่อรายใหญ่เห็นว่ามีการตั้งซื้อมากพอ ก็จะทำการขายแต่ยังทำทีเป็นไล่ซื้ออยู่บ้าง เมื่อปล่อยหุ้นได้ครบก็หยุดไปเฉยๆ และเมื่อรายใหญ่เลิกดัน หุ้นก็เริ่มขึ้นไม่ได้เหมือนติดแนวต้าน นักลงทุนรายย่อยที่ติดกับก็เริ่มแย่งกันขายทำกำไรออกมาอย่างรุนแรง ขายก่อนก็ยังมีกำไรบ้าง แต่จะมีนักลงทุนอีกกลุ่มที่ชอบเล็งซื้อหุ้นที่เคยอ่านข่าวพบว่าดี หากมีการปรับตัวลงมา ไม่ต้องติดตามความเป็นมาก็จะเข้าไปรับเพื่อรอการดีดกลับ เขาเรียกว่าแบ่งๆ กันขาดทุนละงานนี้