Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุน => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 09:27:28 PM
-
พฤติกรรมการลงทุน
เคยมีคนกล่าวว่า นักลงทุนที่จะทำกำไรจากการลงทุนคือนักลงทุนที่สามารถวิเคราะห์หามูลค่าหุ้นที่แท้จริงหรือมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมกับการลงทุนได้ อาจจะเป็นการใช้ทฤษฎีทางการเงิน การวิเคราะห์โดยปัจจัยพื้นฐาน หรือการวิเคราะห์ทางบัญชี แล้วนำมาเปรียบเทียบกับราคาตลาด หากมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาด ก็สามารถซื้อได้ หรือหากมูลค่าที่แท้จริงต่ำกว่าราคาตลาด แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาแพง ควรจะขายทิ้งไป
แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ แล้ว วิธีต่าง ๆ ล้วนให้ตัวเลขที่ต่าง ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ มูลค่าหุ้นที่แท้จริงสักเท่าไร เพราะมีปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย แรงซื้อ แรงขาย และปัจจัยอื่น ๆ มาเป็นตัวกำหนด แม้มูลค่าที่แท้จริงจะสูงกว่าราคาตลาดอยู่มาก แต่ราคาหุ้นก็ไม่ยอมขึ้นไปสะท้อนราคาที่เหมาะสม หรือหุ้นที่ดูว่าแพงเกินพื้นฐานก็ไม่ตกลงมาสักที (ถ้าลงมาจะได้ซื้อ)
ด้วยเหตุนี้ในระยะหลัง ๆ นักการเงินบางคนเริ่มมีความเชื่อว่า ราคาหุ้นที่เหมาะสมจะลงทุนจะเท่ากับราคาตลาดเสมอ นี่เป็นหลักการทางการตลาดอย่างหนึ่งที่กล่าวว่า หากตลาดมีการซื้อขายอย่างมีอิสระแล้วหรือ ตลาดมีประสิทธิภาพเพียงพอ ราคาของสินค้าที่ซื้อขายอยู่ในขณะนั้น ๆ คือราคาที่เหมาะสม เช่น ราคาพืชผัก หรือไข่ ที่มีการปรับตัวขึ้นลงอยู่เสมอ หากเป็นหุ้น ก็คือ ราคาหุ้น ณ ขณะใด ๆ จะสะท้อนมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทนั้น ๆ โดยไม่อิงกับมูลค่าที่แท้จริงที่หาได้จากทฤษฎีต่าง ๆ
ท่านอาจยังสงสัยว่าแล้วถ้าหุ้นขึ้นไปล่ะ ไม่ถือว่าแพงหรือ คำตอบตามทฤษฎีนี้คือ ไม่แพง เพราะมันเป็นราคาที่เหมาะสมกับพื้นฐานบริษัทและสภาวะแวดล้อมในขณะนั้นของมัน ยกตัวอย่างเช่น น้ำดื่มที่ขายอยู่ในสนามกีฬาแม้จะมีราคาแพงกว่าน้ำดื่มข้างนอกอยู่เกือบเท่าตัว แต่มันก็เป็นราคาที่เหมาะสม ถ้าคุณไม่ซื้อคนอื่นก็ซื้อไป ส่วนหุ้นที่ราคาต่ำกว่าราคาพื้นฐานอย่างมาก ก็ต่ำอยู่อย่างนั้นไม่ขึ้นสักที ตามทฤษฎีนี้เราไม่สนว่าราคาพื้นฐานมันอยู่ที่เท่าใด เพราะราคาที่เหมาะสมก็คือ ราคาตอนนี้แหละ โอกาสที่มันจะขึ้นหรือลงก็มีเท่า ๆ กัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่จะมากระทบ
ถ้ามูลค่าพื้นฐานไม่ได้เป็นตัวกำหนด การขึ้นลงของราคาหุ้นแล้วอะไรเป็นตัวกำหนดล่ะ? คำตอบก็คือ ความต้องการซื้อ (Demond) และ ความต้องการขาย (Supply) เป็นสิ่งที่ผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลง เช่น หุ้นที่มีราคาแพงกว่าพื้นฐานมาก แต่หากมีคนต้องการซื้อมาก ราคาก็สามารถปรับตัวขึ้นไปได้อีก โดยเบื้องลึกของความต้องการซื้อและความต้องการขายนั้นเกิดจากความต้องการพื้นฐานเพียงอย่างเดียว คือ “กำไร” (หรือไม่ขาดทุน) ถึงตรงนี้ท่านที่เป็นนักการตลาด คงเริ่มเห็นแสงแล้วว่ากุญแจสำคัญของการลงทุนคือ การเข้าใจ “พฤติกรรมการลงทุน (Investor Behavior)” การทำความเข้าใจไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจพฤติกรรมการลงทุนของคนไม่กี่คน แต่ท่านต้องเข้าใจพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนทุก ๆ กลุ่ม ทั้งรายย่อย รายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ และนักปั่นหุ้น
ในบางครั้งท่านอาจสงสัยว่า แล้วทำไมหุ้นกลุ่มนี้ถึงดี และหุ้นกลุ่มนั้นถึงไม่ดี มันเป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่หรือ คำตอบคือ “ใช่” และ “ไม่ใช่” คำตอบแรก “ใช่” เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐาน ณ ขณะนั้น ๆ ของหุ้นทั้ง 2 กลุ่มที่ต่างกัน ทำให้นักลงทุนมองหุ้นทั้ง 2 กลุ่มต่างกัน ส่วนคำตอบที่สอง “ไม่ใช่” เป็นการมองที่ลึกลงไปกว่านั้นอีกว่า ปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ ราคาหุ้นทั้ง 2 กลุ่มเคลื่อนไหวต่างกัน แต่เป็นพฤติกรรมของนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวเปรียบเทียบราคาที่เหมาะสม แล้วตัดสินใจซื้อ หรือไม่ซื้อต่างหาก ที่ทำให้หุ้นทั้ง 2 กลุ่ม มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ กัน คือ ถ้าไม่มีนักลงทุนใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวเปรียบเทียบราคา ปัจจัยพื้นฐานจะไม่มีผลต่อราคาหุ้นเลย
ท่านอาจสงสัยต่อว่า แล้วทำไมเพียงแค่การมองที่ต่างกัน ทำให้การเคลื่อนไหวต่างกันมากขนาดนี้ล่ะ คำตอบก็คือ เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ ใช้การวิเคราะห์ทางพื้นฐานเป็นตัวเปรียบเทียบราคาหุ้นว่าถูก หรือแพงเหมือนกัน นั่นคือซื้อเมื่อ PE ต่ำ ๆ และขายเมื่อ PE สูง ๆ หรือการมองเทคนิคว่าจะซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้านเหมือนกัน และสิ่งที่คนส่วนมากทำกันก็จะสะท้อนผลเป็นการเคลื่อนไหวของราคานั่นเอง
การจะศึกษาพฤติกรรมการลงทุน ต้องใช้วิธีทางการตลาดมาเป็นแนวทางดังนั้นจึงอยากให้ท่านลองมองภาพตลาดหุ้นให้กว้างออกมา โดยเปรียบเทียบการเล่นหุ้นเป็นเสมือนกับการขายสินค้าของนักการตลาด ดังนี้ให้
- บริษัทต่าง ๆ เป็นเสมือนสินค้า เช่น เป็นแชมพู ซึ่งแชมพูก็มีอยู่หลายยี่ห้อ
- พื้นฐานบริษัทเป็นเสมือนคุณภาพสินค้า เช่น ค่า PE คือ ทำให้ผมนุ่มค่า PBV คือ กลิ่นหอม ซึ่งสินค้าที่มีคุณภาพดีไม่จำเป็นจะต้องขายดีกว่า สินค้าที่มีคุณภาพด้อยกว่า เพราะลูกค้าแต่ละคนมองไม่เหมือนกัน
- ผลการวิเคราะห์พื้นฐานเป็นเสมือนหีบห่อภายนอก ซึ่งหากดูดี ก็น่าซื้อ, หีบห่อภายนอกที่ดูดีทำให้รู้สึกว่าคุณภาพสินค้าภายในน่าจะดี ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจไม่เป็นอย่างนั้น
- การเคลื่อนไหวของราคาเป็นเสมือนการขึ้นลงของราคาสินค้า ราคาถูกก็น่าซื้อ
- บทวิเคราะห์, ข่าวต่าง ๆ เป็นเสมือนการโฆษณา ซื้อเพราะเชื่อตามโฆษณา “ว่าดี”
- นักลงทุน เป็นเสมือน ผู้เลือกใช้สินค้า ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการเลือกซื้อที่ต่าง ๆ กัน
หลังจากนั้น ว่าง ๆ ท่านลองมอง ตลาดหุ้นเป็น การซื้อขายสินค้า ดูเล่น ๆ สัก 2-3 วัน ก็จะเริ่มเห็นภาพแบบมุมกว้าง “อ๋อ ช่วงนี้คนสนใจ GOLD เพราะมีโฆษณาออกมา (ข่าวทั้งตรง และแว่ว ๆ ตามห้องค้า) หีบห่อภายนอกหน้าตาใหม่ดูดีขึ้น (ผลการวิเคราะห์พื้นฐานดูดีขึ้น) แต่ความเป็นจริงคุณภาพก็ยังไม่ค่อยดี (พื้นฐานจริง ๆ ก็คล้ายเดิม) มองแล้วรู้สึกเหมือนพวกสินค้าที่ออกมาใหม่ (Relaunch) ที่คงจะขายดีในช่วงนี้” การมองแบบการตลาด เป็นการฝึกให้ท่านเริ่มมองตลาดหุ้นในมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อเริ่มทำการศึกษาต่อ
ก่อนจะเริ่มต้นเรื่องจิตวิทยา ลองมาดู มูลค่าหุ้น – ราคาหุ้น และการขึ้นลง ว่าเป็นอย่างไร
สำหรับบริษัทที่ไม่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหุ้นจะดูได้ง่าย ๆ จากมูลค่าหุ้นตามบัญชี (X) ซึ่งเกิดจาก ทรัพย์สิน หนี้สิน และกำไรสะสม ในภาพนี้เราเปรียบมูลค่าเสมือนระดับน้ำ ที่เพิ่มขึ้นตามกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงหากบริษัทขาดทุนเรื่อย ๆ
แต่หากบริษัทมีการซื้อขายโดยนักลงทุนทั่วไป มูลค่าที่แท้จริงจะหาได้ยากมาก สิ่งที่มองเห็นคือ ราคาที่เราซื้อขายกันในตลาด (ราคาตลาด) ซึ่งในภาพจะเป็นราคาหุ้น ของบริษัทในขณะต่าง ๆ ซึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เราเปรียบมูลค่าเป็นระดับน้ำ ซึ่งในขณะที่ไม่มีการซื้อขายมูลค่าของบริษัทจะมาจากกำไรจากการดำเนินงาน (รายได้ น้ำไหลเข้า, รายจ่าย น้ำไหลออก) แต่เมื่อบริษัทมีการซื้อขาย ราคาจะไม่เท่ากับมูลค่าที่แท้จริงแต่จะมีการขึ้นลงตามความต้องการซื้อ ในภาพเราเปรียบเป็นจำนวนเหรียญ หากมีความต้องการซื้อมากจำนวนเหรียญก็จะเพิ่มขึ้น ระดับน้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากมีข่าวไม่ดีออกมา คนก็อยากขายออก ใครขายก่อนก็หยิบเหรียญไปได้มากกว่า เมื่อเหรียญถูกหยิบไปเรื่อย ๆ ระดับน้ำก็จะลดลง (ราคาหุ้นก็ตกต่ำลง)
จากลักษณะที่กล่าวมานั้น เราจึงทดลองสร้างเกมขึ้นมา 1 เกม เรียกว่า “เกมซื้อขายระดับน้ำ” เพื่อทำการศึกษาพฤติกรรมการซื้อขายแบบคร่าว ๆ
วิธีการเล่น เราจะมีถังน้ำที่ขีดเส้นบอกระดับน้ำอยู่ 3 ใบ ซึ่งข้างในจะมีขันลอยอยู่ การเล่น 1 เกมจะแบ่งออกเป็น 30 รอบ ซึ่งแต่ละรอบจะมีการเติมน้ำเข้าไปหรือตักน้ำออกมา (เปรียบเสมือนผลประกอบการ)
กติกา มีอยู่ว่า ให้คนเล่นใส่ก้อนหินลงมาตามระดับน้ำ หากระดับน้ำต่ำก็ใส่น้อยหากระดับน้ำสูงต้องใส่มาก ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านใส่หินลงไปแล้ว ท่านมีสิทธิหยิบหินคืนไปตามระดับน้ำเช่นกัน ถ้าระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ท่านก็สามารถหยิบหินออกได้มาก
เกมที่ 1 : มีผู้เล่น 5 คน เรามีการใส่น้ำเข้าไปทุกรอบ รอบละ 1 ขีดเท่ากันทุกถัง
ผลการเล่น นักเล่นแต่ละคนต่างมีวิธีการเล่นที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนมากจะเลือกใส่หินในถังที่มีคนสนใจเล่นด้วย เพราะระดับน้ำเพิ่มขึ้นเร็วกว่า บางคนชอบที่จะเอาหินออกเมื่อระดับน้ำเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (3 – 4 รอบการเล่น เปรียบเป็นการลงทุนระยะสั้น) บางคนก็เลือกที่จะใส่มาก ๆ ในครั้งแรก ๆ แล้วทิ้งไว้จนจะจบเกม (เปรียบเป็นการลงทุนระยะยาว) แต่ในรอบใดที่มีคนเอาหินออกมามาก รอบถัดไปเกือบทุกคนจะเอาหินออกตามจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำลงอย่างเร็ว (เป็นการตกลงใจและรับเอากำไรกันไว้ก่อน)
เกมที่ 2 : ผู้เล่น 5 คนเดิม, แต่คราวนี้เรามีการให้หินเพิ่มขึ้น ทุก ๆ 10 รอบ การเล่น และมีการใส่น้ำในแต่ละรอบเพิ่มขึ้น
ผลการเล่น : ผลการเล่นจะคล้าย ๆ กับเกมที่ 1 เพียงแต่คราวนี้ผู้เล่นจะเริ่มรู้จักลักษณะการเล่นของกันและกันมากขึ้น มีผู้เล่นท่านหนึ่งที่มักจะขาย และซื้อก่อนคนอื่น ๆ เสมอ ทำให้ได้กำไรมากกว่า การเล่นในรอบนี้ทุกคนจะใส่หินเพิ่มมากกว่ารอบก่อน ๆ เสมอ ทำให้ได้กำไรมากกว่า การเล่นในรอบนี้ทุกคนจะใส่หินมากกว่ารอบก่อน ๆ และการเอาหินออกก็มีน้อยครั้งกว่า เพราะแต่ละคนได้รับหินเพิ่มขึ้นในรอบที่ 10 และรอบที่ 20 (รอบนี้เปรียบเสมือนช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งทุกคนจะได้หินเพิ่มจึงใส่หินมากกว่าการเอาออกในรอบแรก และการที่แต่ละคนรู้ว่าเห็นว่าเพื่อนร่วมเล่นเอาหินออกน้อยลง จึงกล้าที่จะทิ้งไว้เรื่อยเพื่อรอให้ระดับน้ำค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งคล้ายว่าทุกคนอยากที่จะได้กำไรมากกว่ารอบแรกและมั่นใจว่าคนอื่นติดคล้ายๆ กัน)
เกมที่ 3 : ผู้เล่น 5 คนเดิม, และเรามีการให้หินเพิ่มขึ้น ทุก ๆ 10 รอบการเล่น (เหมือนเกมที่ 2) แต่ในเกมนี้ ที่รอบที่ 12 เรามีการตักน้ำออกจากถังที่ 1 ครึ่งถัง (บริษัทขาดทุน) และในรอบที่ 15 เราบอกว่า ในรอบที่ 20 จะใส่น้ำในถังที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 2 ขีด (ออกข่าวว่า บริษัทที่ 2 จะมีผลการดำเนินงานดีขึ้น)
ผลการเล่น ก็เป็นอย่างที่เราคาดไว้ คือ จากการที่คนเล่นเริ่มรู้ใจกันมากขึ้นจึงไว้ใจกันและไม่ค่อยมีการเอาหินออกมา จนกระทั่งในรอบที่ 12 ที่เรามีการตักน้ำออกไปจากถังที่ 1 รอบต่อมา (รอบที่ 13) คนเล่น 4 คน เลือกที่จะเอาหินออกจากถังที่ 1 ทำให้น้ำในถังที่ 1 ยิ่งลดลงไปอีก ในรอบที่ 16 หลังจากที่เราประกาศว่าจะเพิ่มน้ำในถังที่ 1 ยิ่งลดลงไปอีก ในรอบที่ 16 หลังจากที่เราประกาศว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบที่ 16-20 แต่ในรอบที่ 22 เมื่อคนเล่นคนหนึ่ง (ซึ่งเป็นคนที่กำไรมากที่สุด) เลือกที่จะเอาหินออกเพราะเห็นว่ากำไรมากแล้ว รอบต่อมาคนอื่นก็เลือกที่จะเอาหินออกตามมา แม้น้ำในถังจะเพิ่มขึ้นมากกว่าถังอื่น ๆ
จากการเล่นเกมทั้ง 3 เกม (90 รอบ) เราได้พฤติกรรมการเล่นเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ เพราะมันเป็นจิตวิทยาการเล่นที่คล้าย ๆ กับการลงทุนในตลาดหุ้น ทุกคนจะมีความโลภ และความกลัวอยู่ตลอดเวลา คนส่วนมากเลือกที่จะเล่นในถังที่มีคนสนใจมาก ๆ บางคนทำกำไรสั้น ๆ บางคนเล่นแบบยาว ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติที่เรารู้อยู่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ มีอยู่ท่านหนึ่งที่ได้กำไรมากกว่าท่านอื่น ๆ เสมอ แม้วิธีการเล่นไม่แตกต่างจากท่านอื่นนัก แต่เขาสามารถซื้อและขายได้ก่อนคนอื่นๆ ซึ่งจากการถามดูจึงรู้เทคนิคคร่าวๆ ว่า เขาไม่ได้สนใจในเรื่องระดับน้ำที่เพิ่มขึ้น (ราคาหุ้นที่ขึ้น หรือลง) แต่เขาจะสนใจว่าเพื่อนๆ จะมีการเล่นแบบใด และเดาใจคนอื่น ๆ ไว้ ซึ่งส่วนมากจะถูก
จากสิ่งที่ได้รับฟัง เราจึงเริ่มเล่นเกมที่ 4 เพื่อทดสอบวิธีการเล่นของผู้ชนะท่านนี้ โดยใช้สภาวะเหมือนกับเกมที่ 2 แต่เรามีการเปลี่ยนผู้เล่นใหม่ 3 ท่าน และในรอบที่ 15 และ รอบที่ 20 เราจะมีการกลับคำสั่งของผู้เล่นอีก 4 คน จาก “ใส่เพิ่ม” เป็น “เอาออก” และจาก “เอาออก” เป็น “ใส่เพิ่ม”
เกมที่ 4
ผลการเล่น : ในเกมนี้ ผู้เล่นท่านใหม่ก็มีลักษณะการเล่นที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อเล่นไปหลาย ๆ รอบก็เริ่มจับทิศทางกันได้ แต่เนื่องจากเรามีการกลับคำสั่งทำให้การเล่นไม่เป็นตามรูปแบบที่เคยเล่นกัน ผู้เล่นที่เคยชนะในเกมก่อน ๆ คราวนี้ไม่สามารถซื้อหรือขายออกไปก่อนได้ แต่ต้องตกใจขายตามผู้อื่น เมื่อผู้อื่นขายไปพร้อม ๆ กัน และเกมนี้เขาก็ทำกำไรได้น้อยลง เป็นเพราะเขาไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมของเพื่อนผู้ร่วมเล่นได้
บทสรุปจากเกมทั้ง 4 ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราควรสนใจในการเล่นไม่ใช่ที่ระดับน้ำ แต่เป็นการเพิ่มขึ้น และลดลงของก้อนหินมากกว่า การที่จะรู้ว่าหินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น เราต้องรู้ถึงลักษณะของคนที่เราเล่นด้วยว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาใส่หินเพิ่มขึ้นมาหรือเอาออกมา ปัจจัยที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้คนเล่นกล้าที่จะใส่มากกว่าเอาออก หรือ เรื่องการเก็งกำไรเมื่อน้ำจะเพิ่มขึ้น อย่างในเกมที่ 3 แต่เป็นการมองไปในอนาคตว่า ในอีก 2-3 รอบ ผู้เล่นท่านอื่น ๆ จะทำอะไรกัน
หากเปรียบเทียบเกมเป็นการเล่นหุ้น ก็คือผู้ชนะจะไม่ได้ใส่ใจกับพื้นฐานบริษัท หรือราคาหุ้นเลย แต่จะสนใจที่ การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาหุ้นเป็นสำคัญ และคาดเดาล่วงหน้าว่าคู่แข่งในเกมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับบรรดาหุ้นที่เปลี่ยนไป แล้วลงมือก่อน
ในการเล่นเกมผู้เล่นน่าที่จะสามารถตัดสินใจกันได้ดีกว่าการลงทุนจริง เพราะผู้เล่นจะไม่คิดมากจนขาดเหตุผล และผู้เล่นสามารถมองเกมได้ง่ายกว่าเพราะมีผู้เล่นอยู่น้อยราย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ผู้เล่นสามารถมองภาพของเกมในมุมมองที่กว้างได้ว่าคนอื่นจะทำอะไรแม้จะมีการพูดจาหลอกล่อกันบ้าง ในการลงทุนจริงบางครั้งเราจะได้รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นข่าว บทวิเคราะห์หรือการแนะนำของใครสักคน ซึ่งหากผู้รู้ทั้งหลายบอกว่าหุ้นกำลังเพิ่มขึ้น คนจะยอมซื้อเพิ่มเพราะอยากได้กำไรง่าย ในทางกลับกัน หากท่านผู้รู้บอกว่าหุ้นกำลังลดลง คนก็จะแย่งกันขายออกมาเพราะขายก่อนก็ได้มากกว่า ขายหลังก็ได้น้อยกว่า สิ่งที่สำคัญในการฟังผู้รู้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นข่าว โบรกเกอร์ ท่านอาจารย์หรือเพื่อนต่าง ๆ ท่านต้องพิจารณาด้วยว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายเล่นอยู่กับเราด้วยหรือเปล่าหรือท่านเหล่านั้นแอบซื้อไว้ก่อนแล้ว
การศึกษาพฤติกรรมนักลงทุนโดยใช้หลักการตลาด
จากการที่เราได้ทำการทดลองเล่นเกม ทำให้เรารู้ว่าหากเราสามารถรู้ว่าคนที่เล่นอยู่กับเราคิดอย่างไร โอกาสที่เราจะสามารถตัดสินใจได้ก่อน และเทำกำไรก็มีมากขึ้น ซึ่งวิธีการศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนที่ดี คือ การนำทฤษฎีทางการตลาดมาใช้