Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์
สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => การปรับกลยุทธ์ในการเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 08:51:45 PM
-
การปรับกลยุทธ์ ก็คือ การปรับพอร์ตเพื่อให้สัดส่วนของหุ้นและลักษณะของหุ้นเหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด วิธีการจึงเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มในตัวเราคิดว่าดี และการขายทำกำไร หรือการตัดขาดทุนในตัวที่เห็นว่าอนาคตไม่แจ่มใสนักนั่นเอง ขั้นตอนส่วนใหญ่เป็นการปฏิบัติ เราจึงไม่ต้องแนะนำอะไรเพิ่มเติม แต่ในที่นี้จะเสนอเทคนิคบางอย่างที่นักเล่นหุ้นใช้ปฏิบัติกัน
การปรับพอร์ตแบบปิรามิด
ลักษณะของพอร์ตการลงทุนที่เราเคยวางแผนว่า จะมีหุ้นลงทุนระยะยาว ระยะกลาง และหุ้นทำกำไรระยะสั้น อยู่ผสมกัน ส่วนสัดส่วนนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง เวลาติดตามและ กลยุทธ์ของแต่ละท่านแต่ในพอร์ตของนักลงทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนพอเหมาะจะเป็นดังรูป (นักเก็งกำไรอาจมีพอร์ตเป็นปิรามิด หัวโต ฐานเล็ก)
ซึ่งเราเรียกพอร์ตนี้ว่า พอร์ตแบบปิรามิด ในภาพจะอธิบายในตัวอยู่แล้วว่า หุ้นอะไรมีหน้าที่อย่างไร และตอนนี้ท่านคงรู้แล้วว่าหุ้นแบบไหนมีความเสี่ยงมาก น้อย แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปคือการปรับพอร์ตปิรามิดเป็นอย่างไร
การปรับพอร์ตแบบปิรามิด จะแสดงให้เห็นในรูป นั่นคือ
1. ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ สัดส่วนหุ้นในพอร์ตจะมีอยู่มากที่สุด แต่ส่วนเงินสดเราก็จะต้องเหลืออยู่ด้วยเพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าหุ้นจะขึ้นเมื่อใด เหตุที่สัดส่วนหุ้นในพอร์ตในช่วงตลาดตกต่ำเพราะ ความเสี่ยงในช่วงนี้จะน้อย และราคาหุ้นมักจะต่ำกว่าพื้นฐาน
2. เมื่อหุ้นเริ่มขึ้น หุ้นที่จะมีกำไรมากที่สุด จะเป็นหุ้นขนาดเล็กและตอบรับกับข่าวดี ๆ ต่าง ๆ รุนแรงกว่าหุ้นใหญ่ ๆ ในช่วงการเริ่มขึ้นของตลาด ดัชนีอาจจะขึ้นไปเพียง 10% แต่หุ้นระยะสั้นจะขึ้นไปแล้วมากกว่า 20% เราจึงเริ่มลดสัดส่วนของพอร์ตลง โดยเลือกที่จะขายหุ้นระยะสั้นออกไปก่อน เพราะมีความเสี่ยงที่สุด เหตุที่เราจะต้องขายหุ้นในพอร์ตออกไปบ้างเพราะเราไม่สามารถเดาอนาคตได้ว่าหุ้นจะขึ้นต่อหรือจะปรับตัวลง
3. หากเมื่อขายออกไปแล้วหุ้นลง เราก็จะทำการซื้อหุ้นที่ขายไปกลับคืนในราคาที่ถูกลง และได้กำไรส่วนต่างไปเล็กน้อย แต่หากหุ้นยังคงขึ้นต่อความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมก็จะมากขึ้นเราจึงต้องขายหุ้นออกไปอีกส่วนหนึ่ง ในช่วงนี้เราเลือกที่จะขายหุ้นในระยะกลางออกไป เพราะราคาหุ้นระยะกลางจะปรับตัวเร็วขึ้น และลงเร็วกว่าหุ้นระยะยาว
4. เช่นเดียวกับ ข้อ 3 หากหุ้นปรับตัวลงหลังจากที่เราขายออกไปแล้ว เราก็จะซื้อหุ้นคืน แต่หากหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก เราอาจจะเสียดายที่ขายออกไปก่อนหน้าบ้าง แต่หากเราพอใจกับกำไร และไม่โลภสุดท้ายเราจะไม่ติดหุ้น หรือขาดทุน ในช่วงนี้หุ้นจะขึ้นไปสูงมาก ท่านอาจเลือกที่จะถือหุ้นระยะยาวต่อไปหรือหากท่านคิดว่ากำไรที่ได้มากพอแล้วก็อาจขายออกไปบางส่วน หลังจากช่วงนี้ ท่านก็สามารถพักผ่อนกับกำไรที่ได้มาแล้วค่อยกลับมาดูเมื่อตลาดปรับตัวลงไปแล้ว อย่าไปใส่ใจหากหุ้นยังทำท่าจะขึ้นต่อ ช่วงนี้จะสำคัญมากเพราะนักลงทุนส่วนมากจะอดใจไม่ได้และกลับเข้าไปซื้อหุ้นคืน หรือบางครั้งหุ้นอาจปรับตัวลงเล็กน้อยท่านก็เข้าไปรับ เพื่อหวังเก็งกำไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรอบแล้วรอบเล่าคือ รายย่อยจะติดหุ้น ณ จุดสูงสุด เพราะจุดนี้มักมีการซื้อขายหนาแน่นมาก
5. ช่วงนี้หุ้นเริ่มปรับตัวลงมาบ้าง แต่เนื่องจากเราไม่รู้ว่าหุ้นจะปรับตัวลงมามากแค่ไหน การทยอยรับหุ้นจึงเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและไม่ตกรถไฟ หากมันดีดกลับ ในช่วงแรกของการรับ จะเริ่มจากหุ้นที่มีพื้นฐานดีก่อน เพราะเมื่อเริ่มต้นจะลงมากเช่นเดียวกับตัวอื่นๆ แต่พอตลาดลงอีก หุ้นกลุ่มนี้จะลงต่ออีกไม่มาก ส่วนหุ้นตัวเล็กอาจจะลงต่ออีก เพราะขึ้นมาสูง ก็จะลงไปมากเช่นกัน
6. ในช่วงนี้ก็จะคล้ายกับ ช่วงก่อนแต่จะเลือกซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตในปีนี้ดีคืนเข้ามาในพอร์ต
7. ในช่วงสุดท้ายคือ ช่วงที่ตลาดเริ่มทรง ๆ และซึมซับกับข่าวร้าย ๆ ไปหมด แล้ว โดยส่วนมากจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่อาจจะปรับตัวลงมามาก เราก็จะเก็บกลับเข้าพอร์ต
จะเห็นได้ว่า การซื้อขายในแบบปิรามิดนั้นไม่ยาก และมีการป้องกันความเสี่ยงอยู่ในตัว ทุก ๆ จุดที่เราขายจะเป็นจุดที่ทำกำไร เพราะหลักใหญ่ ๆ คือ หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ แต่จะเป็นการทยอยซื้อ ทยอยขายอย่างมีหลักการนั่นเองตอนนี้เราจะเริ่มมองว่าหากตลาดหุ้นดีดกลับหุ้นตัวใดที่น่าจะพุ่งขึ้นแรง