Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์

สอนเล่น forex / บทความหน้ารู้ => Stock market ความรู้เกี่ยวกับหุ้น => การเล่นหุ้นและกำหนดกลยุทธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 08:22:24 PM

หัวข้อ: การดำเนินกลยุทธ์
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ เมษายน 19, 2015, 08:22:24 PM
การดำเนินกลยุทธ์

การดำเนินกลยุทธ์ ก็คือ การนำเอาแผนการที่วางไว้ไปดำเนินการ ซึ่งก็คือ การซื้อขายหุ้นนั่นท่าน ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องผลตอบแทนของหุ้นในตลาด

หุ้นในตลาดนั้นจะมีอยู่เกือบ 400 ตัว หากเรานำเอาผลตอบแทนของหุ้นทั้งหมดมาคำนวณทางสถิติจะได้ผลว่าผลตอบแทนของหุ้นในตลาดก็มีลักษณะเป็น การกระจายตัวแบบปกติ (Normal Distribution) ดังรูป




จะมีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่งที่จะมีผลตอบแทนมากกว่า ผลตอบแทนของตลาด ส่วนหุ้นที่มีผลตอบแทนแบบสูงมาก ๆ (100% - 200%) จะมีอยู่เพียงส่วนน้อยมาก แต่เรามักจะสังเกตเห็นได้ด้วยความอิจฉาอยากลงทุน จริงๆ แล้วเพียงท่านลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดก็ถือว่าท่านมีความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว

ในสภาวะที่ตลาดมีข่าวดี และมีความต้องการซื้อมาก หรือที่เราเรียกว่า ตลาดกระทิง ผลตอบแทนของตลาดก็จะขยับมาทางขวา นั่นคือผลตอบแทนของตลาดจะสูงขึ้นกว่าปกติ และจำนวนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีก็จะมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้นการเล่นหุ้นในยามนี้จะทำกำไรแม้ท่านอาจไม่เคยลงทุนมาก่อน ในทางสถิติเรียกกราฟนี้ว่า การกระจายตัวแบบเบ้ขวา







ในสภาวะที่ตลาดมีข่าวไม่ดี ตลาดหุ้นเริ่มซบเซา มีแต่คนอยากขายหุ้นหรือที่เราเรียกว่าตลาดหมี ผลตอบแทนของตลาดก็จะขยับมาทางซ้าย นั่นคือ ผลตอบแทนของตลาดจะต่ำกว่าปกติ จะมีหุ้นหลาย ๆ ตัวที่อาจให้ผลตอบแทนติดลบ และหุ้นจำนวนมากขึ้นก็จะให้ผลตอบแทนแย่กว่า ตลาดยามปกติ อย่างไรก็ตามก็ยังมีหุ้นอยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี ยกตัวอย่างเช่นในช่วง ปี 41 – 43 แม้ตลาดจะปรับตัวลง แต่หุ้นกลุ่มอาหารและส่งออกก็ให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ในทางสถิติเรียกกราฟนี้ว่า การกระจายตัวแบบเบ้ซ้าย

หากเรานำหลักสถิตินี้มาใช้กับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะพบสิ่งที่น่าสนใจคือ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นก็จะเป็น การกระจายแบบปกติเช่นกัน วิธีที่จะทำให้เราเห็นภาพอย่างนี้ได้ จะต้องนำข้อมูลที่มากพอมาคำนวณ โดยการนำเอาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในหลายปีมาคำนวณ รูปที่ได้จะอธิบายได้ดังนี้







หากเราเปรียบเทียบว่า บริษัทคือ รถยนต์ที่มีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยมีความเร็วเท่ากัน การเติบโตของบริษัท ซึ่งอย่างที่ท่านทราบว่า บริษัทแต่ละบริษัทมีอัตราการเติบโตที่ไม่เท่ากัน คล้าย ๆ กับรถแต่ละคันที่ขับด้วยความเร็วไม่เท่ากัน (แต่ถ้าขับเร็วมากก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้) ราคาหุ้นถ้าไม่มีการเก็งกำไร ก็จะปรับตัวขึ้นตามความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แต่เนื่องจากตลาดหุ้นทุกแห่งจะต้องมีการเก็งกำไร ดังนั้นราคาหุ้น ณ แต่ละขณะก็จะสูงเกินพื้นฐานบ้าง ต่ำกว่าพื้นฐานบ้าง ในที่นี้เราอุปมาราคาหุ้นเหมือนกับลูกตุ้มที่ผู้ไว้บนรถ ซึ่งความเร็วเฉลี่ยของลูกตุ้มก็เท่ากับความเร็วรถ แต่บางขณะลูกตุ้มก็ถูกแกว่งไปข้างหน้าก็คือ ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงขึ้นกว่าพื้นฐาน บางขณะลูกตุ้มถูกแกว่งไปอยู่ข้างหลังรถก็คือ ราคาอยู่ต่ำกว่าพื้นฐาน แต่จะแกว่งไปมาอย่างไร สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ ความเร็วรถนั่นท่าน

การปรับตัวขึ้นลงของหุ้นนี้ท่าน ที่เรานำมาคำนวณทางสถิติได้ออกมาเป็นการกระจายแบบธรรมดา กราฟนี้ช่วยบ่งบอกได้ว่า ณ ขณะใด ๆ โอกาสที่ราคาขึ้นจะเกินพื้นฐานมาก ๆ นั้นมีน้อย และในขณะใด ๆ โอกาสที่ราคาจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ๆ ก็มีน้อย การเติบโตเฉลี่ยของหุ้นจะเท่ากับการเติบโตของบริษัท ถึงแม้ว่าในบางช่วงหุ้นจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากมาย ปีละ 100% แต่หากพื้นฐานโตตามไม่ทัน สักวันหนึ่งราคาก็จะต้องปรับตัวลงมาก ดังนั้นหากเราเป็นนักลงทุนระยะยาว สิ่งที่เราจะดูก็คือ พื้นฐาน แต่หากเราเป็นนักลงทุนระยะสั้นสิ่งที่เราจะดูก็คือ การแกว่งตัวของราคา และโอกาสที่มันจะเกิดขึ้น หากราคาขึ้นไปมาก ๆ ทางสถิติบอกว่าเกิดได้น้อยมาก ความเสี่ยงที่มันจะลงจึงมีมากกว่าขึ้น แต่บางครั้งท่านอาจสงสัยว่าราคาอาจไม่ได้เป็นอย่างสถิติ ซึ่งจะเป็นจริงเมื่อมีการ Manipulate (ปั่นหุ้น – ทุบหุ้น) หรือไม่ท่านก็อาจจะมองเพียงระยะสั้น ๆ ซึ่งหลักการทางสถิติข้างต้นใช้บ่งบอกในระยะยาวเท่านั้น (ในระยะสั้น ๆ จำนวนข้อมูลยังน้อยเกินกว่าที่จะมีการกระจายแบบปกติ)

อีกข้อสรุปที่สำคัญจากข้อมูลนี้คือ สิ่งที่เราควรมองในระยะยาวคือ พื้นฐาน แม้ว่าในยามที่ตลาดกระทิง มีข่าวดีเข้ามามากมาย แต่หากข่าวดีนั้นไม่ได้ทำให้บริษัทกำไรมากขึ้นจริง เป็นเพียงเงินทุนไหลเข้า สักวันราคาก็จะต้องลงมาที่พื้นฐาน



สไตล์การเล่นหุ้น

การซื้อขายหุ้นจริง ๆ ก็คือ การลงทุนบวกกับการเก็งกำไร ซึ่งมีรูปแบบต่าง ๆ กันไป และเราก็ไม่สามารถบอกท่านได้ว่าวิธีไหนเหมาะกับท่านที่สุด แต่ลักษณะที่นักลงทุนเล่น ๆ กันก็จะมีการลงทุนในระยะสั้น และระยะยาว หรืออาจแบ่งได้เป็นสไตล์การเล่นตามลักษณะหุ้นดังนี้

สไตล์การเล่นหุ้นตามลักษณะหุ้น

หุ้นในตลาดนั้นมีอยู่มากมาย แต่หากมาพิจารณากันให้ดี ๆ แล้วจะสามารถแบ่งตามลักษณะของตัวหุ้นออกเป็นกลุ่มๆ ได้ และหุ้นในแต่ละกลุ่มก็มีการเคลื่อนไหวและ แนวทางการลงทุนที่ต่างกัน หากท่านได้ทำความเข้าใจในลักษณะหุ้นต่าง ๆ ท่านก็สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในแบบของท่านได้

การจัดแบ่งนั้นมีหลายแบบ ในที่นี้ขออ้างอิงการแบ่งในหนังสือ Key to Investing in common stocks ของ นิค และบาร์บาร่า ซึ่งได้แบ่งหุ้นออกเป็น 5 กลุ่ม

          1. หุ้นบริษัทชั้นดี หรือหุ้นบลูชิพ (Blue-chip Stock) ได้แก่ หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานมั่นคง และสามารถรักษาระดับของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ อัตราการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้จะอยู่ประมาณ 10% - 15% ต่อปี ราคาหุ้นกลุ่มนี้ก็จะไม่แบนราบเสียทีเดียว แต่จะมีการปรับตัวตามตลาดแบบค่อย ๆ ขึ้น หุ้นกลุ่มนี้แม้จะไม่ได้มีการเติบโตแบบสูงมาก แต่นักลงทุนมือใหม่จำเป็นจะต้องมีอยู่ในพอร์ตบ้าง เพราะเมื่อเวลาตลาดมีการปรับตัวลงกลุ่มนี้ก็มักจะลงไม่มาก การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงที่ไม่สูง ยิ่งหากท่านเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ไม่มีเวลาติดตามมากนักก็จะเหมาะมากเพราะยังไงบริษัทเหล่านี้มักไม่ล้มหายไปไหน

          2. หุ้นที่เจริญเติบโต (Growth Stocks) ได้แก่ หุ้นของบริษัทที่มีความสามารถทำกำไรสูงคือ มีอัตราการเติบโตของยอดขายและผลกำไรเด่นชัด และคาดว่าจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้สูงต่อไปในอนาคต โดยมากมักเป็นบริษัทขนาดเล็กที่กำลังเจริญเติบโต บางบริษัทเติบโตปีละเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็มี หุ้นกลุ่มนี้มักมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ เพราะต้องนำผลกำไรกลับเข้าไปลงทุนเพิ่มในสภาพการดำเนินงานที่อัตราการเติบโตที่สูงมากราคาของหุ้นกลุ่มนี้มักจะขยับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมักขึ้นเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นการซื้อหุ้นกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่เราแนะนำ อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังในแง่ที่ว่าหุ้นกลุ่มนี้มีคนนิยมซื้อกันมาก เนื่องจากคาดหวังกันว่ากำไรในอนาคตจะมีอัตราการเจริญเติบโตในอัตราสูงมาก แต่เมื่อใดก็ตามหากบริษัทเกิดทำกำไรไม่ได้เท่าที่คาดหวังกันราคาหุ้นตัวนี้ก็อาจมีการปรับตัวลงที่รุนแรงกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เช่นกัน

           3. หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) เป็นหุ้นประเภทที่ราคามีการขึ้นลงตามวัฏจักรธุรกิจกล่าวคือ เมื่อใดเศรษฐกิจดี กิจการและหุ้นของบริษัทก็จะดีตามไปด้วย แต่เมื่อใดเกิดเศรษฐกิจซบเซาขึ้น ผลการดำเนินงานและราคาหุ้นของบริษัทก็จะซบเซาลง จากลักษณะการเคลื่อนไหวขึ้นลงตามการเล่นหุ้นกลุ่มนี้จึงมีความเสี่ยงอยู่ สิ่งที่สำคัญคือจังหวะในการเข้าออก โดยผู้เล่นจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หากเมื่อใดส่อเค้าว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจะต้องรีบขายหุ้นออกไป

แต่หากเศรษฐกิจกำลังจะปรับตัวขึ้น ราคาหุ้นกลุ่มนี้จะเริ่มปรับตัวขึ้น ซึ่งเราอาจเรียกว่า การดีดกลับ หรือหุ้นดีดกลับ (Turnaround Stock) ได้แก่หุ้นของบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำที่ประสบอยู่ กลยุทธ์การเล่นหุ้นกลุ่มนี้ คือให้ตั้งใจช้อนซื้อเข้าไว้โดยไม่ต้องสนใจคำเตือนของใคร ๆ แต่ผู้ที่ซื้อจะต้องเป็นคนที่ใจเย็นมาก ๆ เพราะเมื่อใด ที่หุ้นตัวเหล่านี้เริ่มปรับตัวขึ้นจะให้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำทีเดียว

           4. หุ้นตั้งรับ (Defensive Stock) ได้แก่ หุ้นที่ราคาไม่ขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่บริษัทเจ้าของหุ้นมีผลการดำเนินงานที่มั่นคงเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ตัวอย่างของหุ้นตั้งรับ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่อยู่ในหมวดอาหาร พลังงาน ที่เป็นสินค้าที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นของจำเป็นต้องใช้ บริษัทยังคงมีรายได้ต่อเนื่อง ด้วยความไม่ผันผวนของราคาหุ้นกลุ่มนี้ ยังผลให้การเล่นหุ้นกลุ่มนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ที่หวือหวากว่า อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน การที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างมีเสถียรภาพคือ ขึ้นก็ขึ้นไม่มาก ลงก็ลงไม่มาก ในอีกด้านหนึ่งทำให้โอกาสการทำกำไรในหุ้นกลุ่มนี้มีค่อนข้างต่ำตามไปด้วย กลยุทธ์ในการเล่นหุ้นประเภทนี้ จึงควรเล่นเฉพาะตอนที่ตลาดกำลังมีแนวโน้มลง และเราไม่รู้ว่าตลาดจะลงถึงที่สุดเมื่อใด

          5. หุ้นเก็งกำไร (Speculative stock) ได้แก่ หุ้นของกิจการที่ไม่ได้มีประวัติการดำเนินงานที่ดี หรือมีเครื่องพิสูจน์ผลการดำเนินงานได้อย่างชัดเจนว่าจะทำให้ได้ดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่เป็นหุ้นที่คนนิยมเล่นกัน จากความไม่แน่นอนของการดำเนินการนี้ท่าน ทำให้การเล่นหุ้นกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนค่อนข้างสูง แต่แม้กระนั้นโอกาสในการทำกำไรก็มีอยู่มากหากรู้จักจังหวะในการเข้าออก การเล่นหุ้นกลุ่มนี้ให้ได้กำไรจึงขึ้นอยู่กับการติดตามข่าวสารวงในว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด สามารถเข้าก่อนหรืออย่างน้อยก็เข้าทันและออกก่อนได้หรือไม่ ทั้งนี้ผู้เล่นจะต้องประเมินตัวท่านก่อน ว่ามั่นใจในเรื่องข่าวสารเพียงใด ถ้าคิดว่าตัวท่านรู้ดีกว่าคนอื่น สามารถเข้าออกได้เร็วกว่าคนอื่น ก็น่าสนใจที่จะเลือกเล่นหุ้นกลุ่มนี้