สถานการณ์ investing.com

[narjant]

[admin]

ขอบคุณครับผม 

[narjant]

[narjant]

(Jan 4) สรุปรายงานการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด : FOMC Minutes ของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค. ซึ่งคณะกรรมการ FOMC ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เป็นร้อยละ 1.25-1.50 รายละเอียดดังนี้

ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ
- คณะกรรมการยังคงประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวแบบ “moderate pace” ท่ามกลางการปรับลดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ยังระบุว่าในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจมีการขยายตัวในระดับ “solid pace” ขณะที่ผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีผลต่อมุมมองทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปของคณะกรรมการอย่างมีนัยสำคัญ

-  ภาคการใช้จ่ายผู้บริโภค: คณะกรรมการมองว่าภาคการใช้จ่ายผู้บริโภคจะขยายตัวแบบ moderate ในช่วย near-term โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการจ้างงานที่แข็งแกร่งและรายได้ภาคครัวเรือนที่ปรับดีขึ้น รวมถึงความมั่นใจของผู้บริโภคที่อยู่ในทิศทางบวก นอกจากนี้ “Many Participants” คาดว่าการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างการปฏิรูปโครงสร้างภาษีนั้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี “A few participants” ระบุว่าความคาดหวังเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ได้ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคมาบ้างแล้ว สอดคล้องกับการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน รวมถึงฐานะทางการเงินในภาคครัวเรือน ทั้งนี้ “A number of participants เห็นพ้องเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการปฏิรูปโครงสร้างภาษีว่าจะมีผลต่อภาคการใช้จ่ายผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด

-  ภาคการลงทุน: Minutes ระบุว่ายังคงมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกของผู้ประกอบการต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อีกทั้งรายงานจากแต่ละภูมิภาคแสดงให้เห็นถึงภาพรวมการขยายตัวทั้งในภาคการผลิตและการบริการ ทั้งนี้ “Many Participants”  ประเมินว่าหากรัฐบาลสามารถผ่านร่างการปฏิรูปโครงสร้างภาษีได้สำเร็จ จะส่งผลเชิงบวกต่อ Capital Spending เล็กน้อย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของผลกระทบจากการผ่านร่างดังกล่าว อย่างไรก็ดี รายงานจากการสำรวจผู้ประกอบการระบุว่าผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะชะลอการลงทุน เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการผ่านร่างปฏิรูปโครงสร้างภาษีในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมีความต้องการที่จะใช้กระแสเงินสดจากการปรับลดอัตราภาษีในการควบรวมกิจการ การไถ่ถอนตราสารหนี้ และการซื้อหุ้นคืนมากกว่า

ความเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะสั้นเป็นไปในลักษณะ “roughly-balanced” เช่นเดียวกับการประเมินในการประชุมครั้งก่อนหน้า อย่างไรก็ดี คณะกรรมการระบุถึงความสำคัญในการติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป

การจ้างงาน
- คณะกรรมการประเมินว่าตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ อยู่เหนือระดับ longer run sustainable pace ประกอบกับอัตราการว่างงานที่ยังคงปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงตัวชี้วัดอื่นๆ อาทิ job availability และ job openings ยังชี้ให้เห็นถึงภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานยิ่งขึ้นในระยะต่อไปอีกด้วย ทั้งนี้ “A few participants” ระบุว่าการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มปริมาณ labor supply อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดของผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน

สำหรับมุมมองต่ออัตราค่าจ้างนั้น ในภาพรวม Participants ประเมินว่าการขยายตัวของอัตราค่าจ้างเป็นไปในลักษณะ modest สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและ productivity growth ทั้งนี้ รายงานจากบางภูมิภาคระบุถึงการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้าง โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานในกลุ่ม unskilled และระดับ entry level อย่างไรก็ดี ในบางภูมิภาคที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างมากนั้น ผู้ประกอบการเลือกที่จะทำการปรับปรุงตารางเวลางานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยทำการจัดสรรแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้าง โดย “A few participants” มองว่าภาวะตึงตัวของตลาดแรงง่านจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของอัตราค่าจ้าง ขณะที่คณะกรรมการท่านหนึ่งมองว่าการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างในช่วงที่ผ่านมา มิได้เป็นไปในลักษณะ broad-based ส่งผลให้ตลาดแรงงานอาจมีแน้วโน้มแข็งแร่งขึ้นในระยะต่อไป

อัตราเงินเฟ้อ
- โดยรวมคณะกรรมการระบุว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมายังคงอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 อย่างไรก็ดี ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนล่าสุดมีการปรับสูงขึ้น ส่งผลให้คณะกรรมการบางท่านประเมินว่า YoY Core Inflation มีแนวโน้มส่งสัญญาณการทรงตัวขึ้น นอกจากนี้ คณะกรรมการหลายท่านยังแสดงความมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อจะสามารถขยายตัวสู่ระดับเป้าหมายในช่วง medium term ได้สำเร็จ โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากปัจจัยด้าน cyclical pressures ประกอบกับตลาดแรงงานที่มีความตึงตัว นอกจากนี้ คณะกรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่าว่า การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น โดยหากปัจจัยดังกล่าวหมดไปจะส่งผลเชิงบวกต่ออัตราเงินเฟ้ออีกทาง อย่างไรก็ดี Some participants ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายยาวนานขึ้นจากที่เคยคาดไว้ ขณะที่คณะกรรมการ 1 ท่านเห็นต่าง โดยคาดการณ์ว่าปัจจัยที่กดดันอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเชิงถาวรมากกว่า อาทิ Technological innovations และ Globalization

สำหรับการประเมินภาพรวมด้านการคาดการณ์ด้านอัตราเงินเฟ้อนั้น คณะกรรมการมีความเห็นต่างในประเด็นดังกล่าว โดย Several Participants แสดงความกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้การคาดการณ์ด้านอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวปรับลดลง สะท้อนให้เห็นจากการปรับลดลงของตัวเลขการคาดการณ์ด้านอัตราเงินเฟ้อทั้งในส่วนของ Market และ Survey based ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ A Few Participants ประเมินว่า ตัวเลขการคาดการณ์ด้านอัตราเงินเฟ้อถือว่ายังอยู่ในระดับที่ทรงตัว ท่ามกลางการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ โดยจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัวสูงขึ้นสู่ระดับเป้าหมายของธนาคารกลางต่อไป

เสถียรภาพทางการเงินและระบบสถาบันการเงิน
- คณะกรรมการประเมินว่า financial conditions ยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลาย ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ, ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนค่าลง, Credit spread ที่แคบ และมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ A couple participants แสดงความกังวลว่า ภายใต้ภาวะ elevated asset valuations และค่าความผันผวนในตลาดเงินที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับ financial conditions ที่ผ่อนคลายอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินในอนาคตได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการกล่าวถึงการที่ term premium ในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอยู่ในระดับต่ำ โดยระบุว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังคงถือครองพันธบัตรระยะดังกล่าวในปริมาณสูง เช่นเดียวกับความต้องการของนักลงทุนที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำแบบ persistently     

คณะกรรมการมีการหารือถึงประเด็นที่ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา (Curve flattening) โดยระบุถึงสาเหตุดังนี้
o  การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับสูงขึ้น

o การที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ต่อระดับ Longer-run neutral real interest rate

o การที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ต่อระดับ Longer-term inflation expectation

นอกจากนี้ คณะกรรมการประเมินว่าภาวะ Curve flattening ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างไรเมื่อเทียบกับอดีต “was not unusual by historical standards” อย่างไรก็ดี  Several Participants ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรมีการติดตามลักษณะของ Yield curve อย่างต่อเนื่องต่อไป อนึ่ง Some participants กังวลว่าภาวะ Yield curve inversion อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ รวมถึงมีผลกระทบเชิงลบต่อ Financial conditions และเสถียรภาพของตลาดเงินอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ A couple of other participants เห็นว่า ภาวะ Curve flattening นั้นมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมามากกว่า และเสริมว่าภาวะ Yield curve inversion ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะประสบกับภาวะถดถอยเสมอไป ประกอบกับภาคสถาบันการเงินไม่ได้มีการแสดงความกังวลในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างไร

นโยบายการเงิน
- คณะกรรมการเกือบทุกท่านเห็นพ้องถึงความเหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เป็นร้อยละ 1.25-1.50 โดยระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในลักษณะ accommodative ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการจ้างงานและสนับสนุนอัตราเงินเฟ้อให้ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ได้ใน medium-term

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบางท่านมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ที่ร้อยละ 1.00-1.25 เช่นเดิมจนกว่าอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงปรับสูงขึ้นสู่เป้าหมายมากกว่าปัจจุบัน หรือจนกว่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับสูงขึ้น โดยให้เหตุผลว่า การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะสามารถปรับสูงขึ้นสู่เป้าหมายได้ต่อไป

สำหรับท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไปนั้น คณะกรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปต่อไป (gradual) ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มีการหารือปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อ path ของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่กรณี steeper path ได้แก่ เศรษฐกิจขยายตัวเร็วเกินกว่าระดับ maximum sustainable level ซึ่งอาจเป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการคลัง หรือภาวะตลาดเงินที่ accommodative ส่งผลให้แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่กรณี flatter path ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงหรืออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ไม่สามารถปรับสูงขึ้นสู่เป้าหมายได้

ในส่วนของท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2018 ที่ค่า Median ของ dot plot ที่สะท้อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งนั้น A few participants มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งนั้นมากเกินไป ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่สามารถปรับสูงขึ้นสู่เป้าหมายได้ ประกอบกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้เคียงระดับ neutral rate ในปัจจุบันแล้ว ขณะที่ A few other participants สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 3 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ถึงแม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มลดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ภาวะตลาดเงินไม่ได้ตึงตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำเป็นระยะเวลานานก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินในอนาคต อีกทั้งมองว่าภาคการจ้างงานได้ปรับตึงตัวขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา

อนึ่ง สืบเนื่องจากการที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเป้าหมายมาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีข้อจำกัดด้าน zero lower bound ส่งผลให้ A few participants มองว่าการศึกษา alternative framework ในการดำเนินนโยบายการเงินอาจเป็นประโยชน์ต่อไป เช่น การดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะ “price-level targeting” หรือ “nominal GDP targeting” เป็นต้น (Minutes เริ่มมีการกล่าวถึงการศึกษา alternative framework ในการประชุม FOMC รอบ 31 ต.ค. -1 พ.ย. 2017 ที่ผ่านมา)

Source: BOTSS

เพิ่มเติม
1. FOMC Minute https://www.federalreserve.gov/monetarypolicy/files/fomcminutes20171213.pdf

2. Tax cuts pushed Fed to raise economic forecast, meeting minutes show
https://www.cnbc.com/2018/01/03/fomc-minutes-tax-cuts-pushed-fed-to-raise-economic-forecast.html

[narjant]

ดัชนีสำคัญประจำวันนี้
 
ยูโรและปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากรายงานการประชุมของ FOMC เดือนธันวาคมที่คุมเงินเฟ้อ ทองคำได้รับผลกระทบเช่นกันหลังจากปรับขึ้น 11 เซสชั่นติดต่อกันขณะที่น้ำมันปรับขึ้น $2 วันนี้เทรดเดอร์อาจรอดูข้อมูลจากยูโรโซนและสหรัฐฯ
 
 
 
ฝากเงินด่วน
การเทรดผลิตภัณฑ์ที่มี หลักประกันนั้นมีความเสี่ยงสูง
การคาดการณ์เกี่ยวกับดัชนีชี้วัดด้านการเทรดที่สำคัญวันนี้
 

ตัวขับเคลื่อนตลาด
 
EURUSD – ยูโรตกหลังจากกระทิงมาสี่เซสชั่นติดต่อกันเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ยูโรอ่อนค่าลงจากเซสชั่นภาพรวมของเศรษฐกิจที่เงียบหลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเนื่องจากนักลงทุนเริ่มทำกำไรที่ $1.2080 ราคายังคงอยู่เหนือ $1.20 ในขณะที่เทรดเดอร์จับตามองรายงาน PMI ของยูโรโซน
กราฟ 1 ชั่วโมงของ EURUSD
 
GBPUSD – สเตอร์ลิงลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์เนื่องจาก PMI ภาคการก่อสร้างแย่ ปอนด์อังกฤษลงเป็นครั้งแรกจากในห้าเซสชั่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์และกระเด้งออกจาก $1.35 ราคาในปัจจุบันยังคงสูงกว่าระดับต่ำสุดของเมื่อวานเล็กน้อยในขณะที่ีรายงาน PMI ภาคการบริการมีกำหนดการณ์เผยแพร่เวลา 09:30 GMT

USDJPY – ดอลลาร์ได้หายใจหายคอบ้างแล้วหลังจากอ่อนค่ามาสามเซสชั่นเมื่อเทียบกับเยนท่ามกลางความหวังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดอลลาร์ขยับขึ้นเล็กน้อยในตอนท้ายของวันเมื่อวานนี้จากรายงาน PMI ภาคการผลิตจาก ISM ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้และด้วยความหวังที่ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยโดยขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รายงานการประชุมของเฟดยังแสดงให้เห็นถึงการค่อยๆ กระชับการขยายตัวในระดับปานกลาง ซึ่งช่วยพาคู่นี้ไปสู่แดนบวก

USOIL – น้ำมันยังคงรั้นเป็นกระทิงอย่างต่อเนื่องจากรายงาน API ที่แสดงถึงน้ำมันดิบลดลงอย่างมาก น้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ $61.80/บาร์เรลจากรายงานรายสัปดาห์ของ API รายงานถึงข้อมูลน้ำมันดิบในคลังสำรอง API รายงานถึงการลดลง 4.9M บาร์เรล ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันที่ลดลงเป็นอย่างมากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้มีส่วนร่วมในตลาดรอดูรายงานของ EIA ในข้อมูลน้ำมันดิบในคลังสำรองเพื่อตรวจสอบว่าจะสนับสนุนสถานะซื้อของพวกเขาหรือไม่
 
กราฟ 1 ชั่วโมงของ WTI
XAUUSD – ทองคำยังคงกระทิงต่อเนื่อง ทำกำไร 11 เซสชั่นติดต่อกัน สปอตทองคำแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์เมื่อวานนี้โดยใช้ประโยชน์จากการอ่อนค่าลงอย่างมากในการคู่กับ USD ทองคำสอย $1318/ออนซ์ก่อนมีรายงานการประชุมของ FOMC ซึ่งเริ่มมีการขายท่ามกลางการทำกำไร ราคามีแนวโน้มที่จะเกิดความผันผวนบ้างในวันนี้เนื่องจากมีกำหนดการณ์เผยแพร่ข้อมูลของสหรัฐฯ
 
XAUUSD – ทองคำปิดลดลงเล็กน้อยเนื่องจากดอลลาร์ปรับขึ้นเล็กน้อยจากรายงานการประชุมของ FOMC คุมเงินเฟ้อ สปอตทองคำลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์เนื่องจากความเชื่อมั่นในการเสี่ยงลงทุนมีเพิ่มขึ้นจากรายงานการประชุมของ FOMC ล่าสุดในเดือนธันวาคม ทองคำปิดเซสชั่นที่ $1310/ออนซ์แม้ระดับต่ำสุดในรอบวันจะเป็น $1307

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ - ทั้ง DJ และ S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้น 0.40% และ 0.64% ตามลำดับ

ดัชนีหุ้นยุโรป - UK 100 ขึ้น 0.22%, DE 30 ขึ้น 0.40%

ดัชนีหุ้นเอเชีย - ASX 200 เอียงขึ้น 0.16%, Nikkei พุ่งขึ้น 3.26% และ Hang Seng เทรดเพิ่มขึ้น 0.53%

หุ้นสหรัฐฯ – Exxon Mobil ปรับขึ้น 1.96% ขณะที่ Tesla ตกไป 1.02%

[admin]

ขอบคุณครับ