วิเคราห์และอัพเดตข่าวที่น่าสนใจ แบบตรง ๆ ดิบ ๆ

[Teerapong]

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง $21.20 หลังดอลล์พุ่งเทียบยูโร

          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 60)--สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่าย
          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 21.20 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่ระดับ 1275.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 2 เดือน
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนเดือนธ.ค. ลดลง 53.1 เซนต์ หรือ 3.06% ปิดที่ 16.842 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 31 ดอลลาร์ หรือ 3.25% ปิดที่ 923.60 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 0.7% ปิดที่ 986.10 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาทองคำร่วงลงอย่างหนัก หลังจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า พรรคCDU ของนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่าย ขณะที่นายแฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนี ได้ออกมาเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในรัฐสภา ร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเห็นแก่ประเทศชาติ
          ทั้งนี้ การประชุมร่วมระหว่างพรรครัฐบาลผสมซึ่งนำโดยนางแมร์เคิลจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม (CDU/CSU), พรรค FDP และพรรคกรีน (Green Party) ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หลังที่ประชุมไม่สามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือใหม่ของพรรครัฐบาลผสมภายใต้ชื่อ "กรอบความร่วมมือจาไมก้า" (Jamaica Coalition) ขณะที่มีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับประเด็นผู้อพยพและสิ่งแวดล้อม
          นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดย Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.6%
          ทั้งนี้ ดัชนี LEI ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำ!!!!!!!

*** ค่าเงินดอลลาร์ ราคาทองจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม
กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะทองคำซื้อขายเป็นเงิน
ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ราคาทองคำ
จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อไรที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มค่าขึ้น
ราคาทองจะปรับตัวลดลง

***ดีมานด์ซัพพลาย ในแง่ของดีมานด์และซัพพลายในตลาดโลกจะมีอยู่ 2 มิติ คือ
มิติที่ 1 เป็นความต้องการบริโภคทองคำจริงๆในยามที่เศรษฐกิจโลกดี คนจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณ
ความต้องการบริโภคทองคำมากขึ้น ในขณะที่ยามที่เศรษฐกิจไม่ดีกำลังซื้อของคนจะลดน้อยลงไป ความต้องการบริโภคทองคำก็จะลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน
ในมิติที่ 2 เป็นความต้องการบริโภคทองคำในแง่ของการลงทุน ซึ่งดูจะตรงข้ามกับมุมมองแรก คือ ในยามที่เศรษฐกิจแย่ คนมีแนวโน้มจะหันมาถือครองทองคำมากขึ้น ในฐานะที่ทองคำมีคุณลักษณะของสินทรัพย์ ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง แต่ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็จะถือครองทองคำลดลง

***เงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี (Inflation Hedge) ในยามที่อัตราเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็จะ
ปรับตัวสูงขึ้น และในยามที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน

***นอกจากนี้ยังจะมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้นในช่วงที่มี**ภาวะสงคราม**เกิดขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ผู้ลงทุน ควรจะต้องรู้

Cr.SCT Gold

[Teerapong]

โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปีหน้า เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐอยู่ในภาวะตึงตัว และภาพรวมด้านเงินเฟ้อเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
 
โกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่งในปี 2561 ขณะที่อัตราว่างงานอยู่เริ่มปรับตัวลดลง และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในวันข้างหน้า

ราคาทองปรับตัวลงในวันนี้ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ แต่ยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ทำไว้เมื่อวันศุกร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ
 
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
 
ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ แต่ช่วงบวกถูกจำกัดจากการที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลักดันร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันว่าจะสามารถผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาได้หรือไม่ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้มีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

คำแนะนำส่วนตัวผม สำหรับทองคำวันนี้ ขณะนี้ทองคำอยู่ในกรอบ 1271-1280 สามารถเข้าSELL เบาๆที่ 1279-1280 ได้  หากราคายังไม่ยืนเหนือ 1281  แต่หากยืนเหนือ 1281 ได้ ให้ซื้อ BUY ตามกรอบราคาที่ส่งให้ก่อนหน้านี้เลยครับ

[narjant]

จัดไปครับ ท่าน  tee   

[admin]

ขอบคุณครับ 

[Teerapong]

**แสกนค่าเงินประจำสัปดาห์ที่ 20-24/11/17**
-->ในสัปดาที่ผ่านมา ออส ออกตัวเลขสำคัญคืออัตราดอกเบี้ย โดยพวกเขาตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลกับสภาพเสดกิดตอนนี้ที่ไม่ได้แข็งแรงมาก แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ มาก เพราะตลาาดแรงงานก็กำลังทรงๆตัวิยู่ ส่วนตลาดการค้า (การปลิตและส่งออก) ของพวกเขาดีขึ้นมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่ายมา คาดว่ากำลังเปนไปในทิศทางดีขึ้นสำหรับออสเตรเลีย
-->สำหรับ เมกา สัปดาที่ผ่านมา เปนไปตามคาดว่าตัวเลขเกี่ยวกับภาคการผลิต (ราคาสินค้าคาดการ) จะออกมาในทิศทางที่ดีขี้น แต่ในขณะเดียวกัน ยอดเงินคงคลังก็น้อยลงเลยอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมมีการพูดคุยกันเรื่องภาษีในตอนนี้อันนี้ก็ต้องดูๆกันไปว่าสุดท้ายแล้วนโยบายภาษีจะออกมาในแนวทางไหน ส่วนยอดขายปลีกก็สนับสนุนกับตลาดแรงงานที่กำลังแข็งแรงขึ้น โดยส่วนตัวคาดว่าถ้ามีการปรับขึ้นนโยบายภาษีจิง แน่นอนว่าปชช. อาจจะไม่พอใจ แต่ปัจจัยรายได้ในตอนนี้ของปชช ก็ดูๆแล้วไม่น่ามีปัญหาไรถ้าเกิดการปรับขี้นมาจริงๆ แต่ในส่วนของสินค้าส่งออกมูลค่าทางการตลาดก้ยังตำ่ลง แต่อันนี้ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร
-->ส่วน อังกิด
ราคาสินค้าในอังกิด ตำ่ลง ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายปลีก เมื่อเดือนก่อนยอดตกลง แต่กระนั้นคาดว่าเดี๋ยวจะกลับตัวขึ้นเพราะ ว่าดรรชนีรายได้ เพิ่มขึ้นอย่างมาก  ส่วนตลาดค้าปลีกเดือนนี้กลับปิดตัวเลขขึ้นเลยคาดการได้ว่าราคาสินค้าในเดือนหน้าก็น่าจะดีขึ้นทั้งในมุมมองของผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะปัจจัยทางเศรษฐศาสตรเริ่มสอดคล้องกันแล้ว
-->แคนาดา
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสำคัญออกสองตัว คือยอดการผลิต ซึ่งออกมาในทางที่ดีขึ้นคาดว่าจะส่งผลกับยอดการส่งออกที่น่าจะเพิ่มขึ้นได้ ส่วนราคาสินค้าภายในประเทศออกมาในทางบวก แต่ถ้าตัวที่เป็นค่าเฉลี่ยยังต่ำกว่าค่าก่อนหน้าอยู่แต่ถ้ายังออกมาในทางที่ดีขึ้นอย่างนี้เรื่อยๆ ก็น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในอนาคตใกล้ๆนี้

**ตารางเทรคข่าวประจำวันที่ 20-24/11/17**
-->วันจัน
ไม่มีข่าวอะไร
-->วันอังคาร
- 17.00 GBP ข่าวอัตราเงินเฟ้อ ถ้าได้ตามเป้า เงินจะแข็งแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้ตามเป้าเงินจะอ่อนหน่อย แต่ไม่มากเพราะคาดว่าจะไม่ได้ตามเป้าเพราะจะเกินเป้า นี่แหละ ส่วนตัวคาดว่า GA อาจจะเซล เพราะตัวเลขน่าจะออกมาเกินเป้าแน่นอน
- 20.30 cad ยอดการขายส่ง อันนัเคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ก็น่าจะส่งผลให้การค้าส่งเพิ่มขึ้นด้วยดังนั้น UCad น่าเซล
-->วันพุธ
- 6.00 ป้าเยเลน ออกมาพูดอันนี้ไม่รุ้เลยว่าอะไรน่าจะเรื่องภาษีแต่คาดไม่ถุกเลยว่าทางไหน
- 20.30 Usd ยอดการส่งสินค้า อันนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามยอดการผลิต ที่เพิ่มขึ้นเพราะจะผลิตไรก้คงต้องมีออเดอร์มาก่อนอยู่แล้ว ucad น่าบาย
-->วันพฤหัส
- วันหยุดธนาคารเมกา แต่ตอนตี 2 มีการประชุมของ FOMc อย่าได้ค้างออเดอร์ไว้เชียว เพราะน่าจะคุยเรื่องภาษีกัน คงตื่นมาแก้ไรไม่ทันถ้าคิางไรไว้
- 16.30 GDP ของอังกิดมนไตรมาศนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามภาพรวมทางเสดกิดที่เห่นๆกันอยู่ว่าดีขึ้น ดังนั้น GA น่าบาย
- 20.30 ยอดการขายตรงของแคนาดา อันนี้ดรรชนีชีเว่าจะเพิ่มก็คงต้องเตรียมตัวบายแหละ
-->วันศุก ไม่มีข่าวอะไรสลักสำคัญที่ทำให้กราฟวิ่งแต่มีข่าวเกี่ยวกับธนาคารของอังกฤษที่ผ่านการรับรองจากธนาคารกลาง อันนี้จะส่งผล กับภาพรวมเสดกิดมากกว่าไม่ส่งผลให้กราฟวิ่งเท่าไหร

[admin]

ใช้เครื่องสะแกนกันเลยนะครับท่านที  

[Teerapong]

นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในระหว่างการประชุมเสวนาร่วมกับนายเมอร์วิน คิง อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่สถาบันสเติร์น มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ว่า หนึ่งในปัญหาท้าทายที่สำคัญที่สุดของเฟดในเวลานี้ก็คือ เงินเฟ้อสหรัฐยังคงเคลื่อนตัวต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของเฟด อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่า เฟดจะยังเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป
 
ปัจจุบันเงินเฟ้อสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด แม้ว่าตลาดแรงงานจะส่งสัญญาณที่กระเตื้องขึ้นก็ตาม โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญนั้น เพิ่มขึ้นเพียง 1.3% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และขยับขึ้นเพียง 0.9% จากไตรมาส 2
 
"เฟดกำลังเผชิญปัญหาในการกำหนดนโยบายการเงินที่จะช่วยรักษาภาวะการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ขณะเดียวกันก็ช่วยหนุนเงินเฟ้อให้ปรับตัวสู่ระดับเป้าหมายของเราที่ 2%" นางเยลเลน กล่าว
 
นางเยลเลน ซึ่งจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือนก.พ.ปีหน้า และจะก้าวลงจากตำแหน่งสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดด้วยนั้น กล่าวเตือนว่า "ระดับเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปนั้น อาจส่งผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคปรับตัวลดลง ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา" อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่า ที่ผ่านมานั้น การคาดการณ์เงินเฟ้อได้ปรับตัวลงไม่มาก
 
เธอกล่าวเสริมด้วยว่า หากเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนตัวต่ำกว่าเป้าหมาย จะส่งผลต่อการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) รวมถึงการพิจารณาระดับอัตราดอกเบี้ยปกติ (neutral rate) ใหม่อีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้มาก ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยปกติคือระดับดอกเบี้ยที่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
 
นอกจากนี้ นางเยลเลนยังกล่าวด้วยว่า หากเฟดถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินช้าจนเกินไป อาจส่งผลให้ตลาดแรงงานตกอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป และอาจหนุนตัวเลขเงินเฟ้อให้พุ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2%
 
นางเยลเลนคาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐจะดีดตัวขึ้นในปีหน้า แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับราคาผู้บริโภค พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า เฟดจะจับตาตัวเลขเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดต่อไป

ราคาทองคำเคลื่อนตัวกรอบแคบโดยกลับมายืนเหนือ 1,280 เหรียญอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเมื่อวานนี้ของสหรัฐฯ ได้แก่ Existing Home Sales ออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด ด้าน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิมที่ระดับ 843.39 ตัน และไม่มีข่าวใดๆเข้าสู่ตลาด ขณะที่นักลงทุนรอรายงานประชุมแผนภาษีของทรัมป์ที่จะมีการอภิปรายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าทางส.ว.จะมีการลงมติประมาณวันที่ 30 พ.ย. หรือช่วงตีหนึ่งของวันที่ 1 ธ.ค

[admin]

แต่เมื่อวาน EU เลื้อยซิกแซกเป็นงูเลย 

[Teerapong]

MPLUS HOTNEWS

สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น  3.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยสกุลเงินดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐ และการฟื้นตัวของสกุลเงินยูโร

วันนี้แนะนำนักลงทุนติดตามการเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจาก ม.มิชิแกน  และจับตารายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประจำวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

[Teerapong]

นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะดีดขึ้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า และกล่าวเสริมว่า "ดิฉันมีความไม่แน่ใจเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ โดยเพื่อนร่วมงานของดิฉันและดิฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นเหตุการณ์ชั่วคราว และเรากำลังจับจับตาดูภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดมาก" เธอกล่าวอีกว่า "เฟดใกล้ที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างสมเหตุสมผล และเฟดควรที่จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป เพื่อจะได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานไม่ร่วงลงสู่ระดับที่ต่ำเกินไป" ทั้งนี้นางเยลเลนประกาศในวันจันทร์ว่า เธอจะเกษียณจากเฟดในช่วงต้นเดือนก.พ. โดยจะลาออกจากตำแหน่งในคณะผู้ว่าการเฟดทันทีที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ได้รับการยืนยันและทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่

[Teerapong]

(Nov 24) สรุปรายงานการประชุม ECB ครั้งที่ผ่านมา : วานนี้ ECB เปิดเผยรายงานการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายรอบวันที่ 25-26 ตุลาคม 2017 มีรายละเอียดดังนี้

1.ด้านภาวะตลาดการเงิน
นาย Coeure รายงานว่าที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในยูโรโซนปรับสูงขึ้นไม่มากนัก แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรฯระยะสิบปีของสหรัฐฯจะปรับสูงขึ้นถึง 35 bps ตั้งแต่การประชุมรอบเดือนกันยายนก็ตาม นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดยุโรปยังอยู่ในระดับต่ำมาก และความเห็นในตลาดเป็นหนึ่งเดียวกันว่า ECB จะยังคงการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่อไปในปี 2018 และ sovereign bond spreads ในยูโรโซนก็ปรับลดลงในเดือนตุลาคมเช่นกัน  นอกจากนี้ ยังรายงานว่า นักลงทุนในหุ้นกำลังพยายามบริหาร trade-off ระหว่างการหาผลตอบแทน (search for yield) และความเสี่ยงที่มูลค่าของหุ้นได้ปรับสูงขึ้นมามากแล้ว (stretched valuations)  โดยจากผลสำรวจล่าสุด พบว่าผู้จัดการกองทุนเริ่มแนะนำให้ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯเพื่อเข้ามาในตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น และ emerging markets โดยเฉพาะเอเชียแทน

2. ด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และ leading indicators ต่างๆยังคงชี้ถึงมุมมองที่ดีต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น  ในยูโรโซน การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง และ output ของประเทศสมาชิกปรับสูงขึ้น โดยสภาวะทางการเงินที่ดี รายได้ที่มั่นคง และกำไรที่เติบโตขึ้น ต่างเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนความต้องการภายในประเทศ และการฟื้นตัวในตลาดแรงงาน

3.ด้านอัตราเงินเฟ้อ
คณะกรรมการต่างเห็นด้วยว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเริ่มปรับสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ แต่โดยรวมแล้วยังคงอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่มีสัญญาณที่น่าเชื่อถือว่าจะปรับเข้าสู่ระดับเป้าหมายของ ECB ทั้งนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลาง ด้วยการสนับสนุนจากนโยบายการเงินของ ECB  เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง และค่าจ้างแรงงานที่ปรับสูงขึ้น

คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่ายังคงมีความเหมาะสมในการคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะที่ underlying inflation กำลังเริ่มก่อตัว และเป็นการช่วยหลีกเลี่ยง inflation expectation ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายอีกด้วย และคณะกรรมการเห็นด้วยกับข้อเสนอของนาย Praet ให้ขยายมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ ที่ปริมาณ 30 พันล้านยูโร เป็นเวลาเก้าเดือนจนถึงเดือนกันยายน 2018 หรือนานกว่านั้น หากจำเป็น นอกจากนี้ ยังเห็นเหมาะสมให้คง forward guidance ในด้านอัตราดอกเบี้ยและมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ และเพิ่มความชัดเจนใน forward guidance ในด้าน reinvestment เงินต้นที่ครบกำหนด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว the Governing Council จึงมีมติดังนี้
- คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ติดลบร้อยละ -0.40 และคาดว่าจะอยู่ในระดับปัจจุบัน “for an extended period of time” และยังคงอยู่แม้การเข้าซื้อสินทรัพย์จะสิ้นสุดลง (well past the horizon of the net asset purchases)

- คงปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ APP ที่ 60 พันล้านยูโรต่อเดือน จนกระทั่งถึงเดือน ธ.ค. 2017 และลดลงเหลือ 30 พันล้านยูโรต่อเดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2018 จนถึงเดือน ก.ย. 2018 หรือนานกว่านั้น หากมีความจำเป็น

- reinvest เงินต้นของพันธบัตรที่ครบกำหนดภายใต้มาตรการ APP ต่อไปอีก “for an extended period of time” ภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการการเข้าซื้อสินทรัพย์แล้ว ตราบเท่าที่จำเป็น

- ขยายระยะเวลาสำหรับ fixed rate full allotment สำหรับ Main refinancing operations และ Long-term refinancing operations ระยะเวลา 3 เดือนต่อไปนานเท่าที่จำเป็น หรืออย่างน้อยจนถึงสิ้นสุด reserve maintenance period สุดท้ายประจำปี 2019

นอกจากนี้ Governing Council ยังเปิดเผยจำนวนเงินต้นของพันธบัตรที่ครบกำหนดภายใต้การเข้าซื้อสินทรัพย์ในระยะเวลา “rolling 12 months” รวมถึง actual redemption จริงของเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการเพิ่มความโปร่งใสของ ECB

Source: BOTSS

เพิ่มเติม
1. ECB split over keeping bond buys open-ended: minutes
https://ca.reuters.com/article/businessNews/idCAKBN1DN19N-OCABS

2. ECB Officials Differed on Future of QE at October Meeting
https://www.wsj.com/articles/ecb-officials-differed-on-qe-at-october-meeting-1511443199

[admin]

Wow! ขอบคุณครับท่านที 

[Chooddy]

บทวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์สำหรับค่าเงิน EURUSD, GBPUSD, USDJPY และ USDCHF ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2560
 
อันดับแรกเป็นการทบทวนบทวิเคราะห์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
- สำหรับคู่สกุลเงิน EUR/USD เราได้ให้คำทำนายบนพื้นฐานของการวิเคราะห์กราฟที่ถือว่าเป็นการวิเคราะห์ที่ดูสดใสมากที่สุด และการตัดสินใจของเราก็ไม่มีผิดพลาด ในสัปดาห์ที่แล้วจากการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 ราคาคู่นี้คาดว่าจะเคลื่อนที่ในทิศทางด้านข้างในช่วงระหว่าง 1.1700 ถึง 1.1860 โดยหลังจากที่ราคาขยับถึงเพดานด้านล่าง คาดว่าราคาน่าจะพุ่งทะยานขึ้นมา และคำทำนายนี้ก็เกิดขึ้นจริง โดยราคาคู่นี้ได้ขยับไปยังช่วงราคาขั้นต่ำที่ระดับ 1.1712 และหลังจากมีผลการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับสถานการณ์ในเกาหลีเหนือและข่าวจากธนาคารกลางที่ออกมา ราคาคู่นี้ก็เริ่มไต่สูงขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยราคาได้ขยับถึงจุดสูงสุดที่ 1.1943 ในช่วงท้ายสัปดาห์
 
- สำหรับบทวิเคราะห์คู่ GBP/USD ได้มีนักวิเคราะห์จำนวน 60% ที่โน้มน้าวไปทางที่ว่าราคาจะขยับอยู่ในช่วงกลางของระยะกลางในช่องด้านข้าง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 40% ที่เหลือสนับสนุนด้วยดัชนีจำนวนเกือบ 90% ได้คาดว่าราคาจะออกจากโซนดังกล่าวและขยับไปยังเพดานด้านบนของช่องนี้ ซึ่งสถานการณ์นี้เกิดขึ้นจริงอย่างแม่นยำ 100% โดยในช่วงก่อนกลางสัปดาห์ ราคาพยายามขยับคงที่อยู่ใกล้ช่วงกลางของระยะกลาง โดยมีจุด Pivot Point เป็นค่าแนวรับ และหลังจากนั้นราคาก็ขยับขึ้นมาถึงระดับสูงสุดของเดือนตุลาคมที่ 1.3338 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
 
- USD/JPY สำหรับคู่นี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (75%) ซึ่งสนับสนุนโดยดัชนีจำนวนข้างมาก (90%) ได้ให้บทวิเคราะห์ว่าราคาจะทดสอบค่าแนวรับในพื้นที่แถว Pivot Point ของระยะกลางที่ 108.00 – 114.50 ในช่องด้านข้าง บทวิเคราะห์นี้ก็เกิดขึ้นจริงเช่นกัน โดยราคาได้ทะลุระดับ 111.70 และราคาขยับไปค่าต่ำสุดของสัปดาห์ที่ระดับ 111.05 หลังจากนั้นราคาก็ตีตื้นขึ้นมาโดยปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่โซน 111.50
 
- บทวิเคราะห์สำหรับคู่ USD/CHF ก็ถูกต้องเช่นกัน โดยมีระดับ 0.9940 เป็นค่าแนวต้านที่ใกล้ที่สุด ตามที่ทำนายโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 60% และดัชนีจำนวน 75% ราคาคู่นี้ได้ฟื้นขึ้นมาจากระดับนี้ก่อนที่จะวิ่งลงทิศใต้ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ระดับ 0.9800 และราคาได้ขยับมาหยุดอยู่ใกล้ระดับดังกล่าวในท้ายสัปดาห์
 
***
บทวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์สำหรับสัปดาห์นี้
จากการสรุปความคิดเห็นของบรรดานักวิเคราะห์จากธนาคารและบริษัทโบรกเกอร์ชั้นนำต่างๆ รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟ เราจึงสามารถสรุปผลวิเคราะห์ในสัปดาห์นี้ได้ดังต่อไปนี้
 
- 65% ของผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลงและราคา EUR/USD จะขยับสูงขึ้นอย่างน้อยที่ระดับ 1.2000 โดยมีค่าแนวต้านอยู่ที่ 1.2045 และ 1.2090 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนสิงหาคม ทั้งการวิเคราะห์กราฟและดัชนีเทรนด์ราคาทั้งหมด 100% ต่างเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์นี้ สำหรับออสซิลเลเตอร์ มีสัญญาณจำนวนหนึ่งในสามที่บ่งบอกว่ามีการซื้อมากเกินไป ในขณะที่นักวิเคราะห์จำนวน 35% คาดว่ายังอาจมีการปรับตัวของราคาที่ปรับตัวลดลงมาก็เป็นได้ ซึ่งนักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่าราคาจะถอยลงมาที่แนวรับที่ระดับ 1.1855 และในกรณีที่ราคาทะลุได้ก็จะลงไปอีกที่ถึงบริเวณ 1.1800
 
- ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 70% การวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 และดัชนีจำนวน 100% เห็นด้วยว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์เช่นกัน ในความเห็นกลุ่มนี้ แนวโน้มขาขึ้นของคู่ GBP/USD ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2560 นี้จะยังคงดำเนินต่อไป และราคาคู่นี้จะเร่งขยับตัวไปที่จุดสูงสุดของเดือนกันยายนที่โซน 1.3650 และค่าแนวต้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 113.25
บทวิเคราะห์อีกมุมหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์จำนวน 30% มองว่าราคาได้แตะเพดานด้านบนในฤดูใบไม้ร่วงในระยะกลางที่ช่วง 1.3035 – 1.3335 แล้ว ดังนั้นราคาน่าจะกลับมาสู่ Pivot Point ที่ 1.3200
 
- ค่าเงินดอลลาร์นั้นกำลังอ่อนตัวตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจำนวน 70% ก็มีผลต่อคู่เงิน USD/JPY เช่นกัน เป้าหมายของคู่นี้อยู่ในช่วง 110.00 – 110.50 อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางภาพบทวิเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงไป โดยมีนักวิเคราะห์จำนวน 65% ให้คะแนนเสียงว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นมาที่ช่วง 1120.00 – 113.45 และขยับต่อไปอีกที่ 114.45 การวิเคราะห์กราฟและออสซิลเลเตอร์หลายตัวในกรอบ D1 ก็ให้สัญญาณที่บ่งบอกแนวโน้มนี้เช่นเดียวกัน
 
- ทิศใต้และทิศใต้เท่านั้น เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกว่า 70% และการวิเคราะห์กราฟและดัชนีเทรนด์อีก 100% รวมถึงออสซิลเลเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 จำนวนกว่า 80% โดยมีแนวรับที่ระดับ 0.9750, 0.9675 และ 0.9560
สำหรับการวิเคราะห์กราฟ มีความเห็นตรงกับออสซิลเลเตอร์จำนวน 20% ซึ่งให้สัญญาณว่าก่อนที่ราคาจะขยับลงนั้น ราคาอาจจะปรับตัวขยับขึ้นชั่วคราวที่ระดับ 0.9865
สุดท้ายนี้ มีนักวิเคราะห์จำนวน 30% ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแรงสนับสนุนขาลง ซึ่งนักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่าราคาน่าจะวกกลับไปที่ 1.000 ในอนาคตอันใกล้นี้
 
โรมัน บุทโก, NordFX
 
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
 

[neoben]

ขอบคุณครับ  

[admin]

ขอบคุณครับท่าน