• กิจกรรมทายผล
  • การแข่งขัน
  • ติดต่อสอบถาม
  • สนับสนุนเว็บบอร์ด

src="/ckfinder/userfiles/images/(CPI)%20%2B%20Inflation%20Rate%20.png" width="30%" height="120">

  • หน้าแรก
  • โบรคเกอร์
    • เปรียบเทียบบัญชีโบรคเกอร์
    • ตราวจสอบ Reabate Exness ประจำวัน
    • การแข่งขัน webTrader Contest
  • ปฏิทิน
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
  • blogger
 

  • Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์ »
  • FOREX NEWs / ปฏิทินเศรษฐกิจประจำวัน »
  • ปฏิทินเศรษฐกิจประจำวัน (ผู้ดูแล: admin) »
  • คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
  • พิมพ์
หน้า: [1]   ลงล่าง

ผู้เขียน หัวข้อ: คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก  (อ่าน 3996 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • Gold Master
  • *****
  • กระทู้: 44186
  • LIKE: 482
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
« เมื่อ: กันยายน 11, 2016, 06:54:35 PM »
คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก และลำดับความสำคัญของข่าว



Economic

Fed คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (USD) Fed ย่อมาจาก Federal Reserve Bank

FOMC คือ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ย่อมาจาก Federal Open Market Committee



ECB คือ ธนาคารกลางยุโรป (EU) ย่อมาจาก European Central Bank



BoJ คือ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (๋JPY) ย่อมาจาก BOJ Bangk of Japan



RBA คือ (AUD) ย่อมาจาก ธนาคารกลางแห่งประเทศออสเตรเลีย




BOE คือ (GBP) ย่อมาจาก Bank of England ธนาคารกลางสหราชอาณาจักรอังกฤษ



SNB คือ (CHF) ย่อมาจาก Swiss National Bank​ ธนาคารแห่งชาติสวิสเซอร์แลนค์



BoC คือ (BoC) ย่อมาจาก Bank of Canada ธนาคารกลางแคนนาดา




PBOC หรือ PBC คือ ธนาคารกลางจีน ย่อมาจา The People’s Bank of China

Fiscal Cliff คือ ปัญหาทางการคลังสหรัฐฯ หรือหมายถึง การตัดลดการใช้จ่ายด้านการคลัง หรือที่เรียกว่าหน้าผาการคลัง

QE ย่อมาจาก Quantitative Easing ความหมายคือเป็นนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการตรึงดอกเบี้ยต่ำและอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการกว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารภาครัฐอื่นๆ

QE3 คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ โดยการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเงินรอบที่ 3

ZEW
คือ ภาษาเยอรมันว่า Zentrum für Europäische Wirtschaftsforschung

โดยมีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษคือ Centre for European Economic Research โดยจะเป็นการสอบถามคำถาม 9 คำถามจากนักวิเคราะห์ 350 คน เพื่อจะเอามาดูว่านักวิเคราะห์คิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์และ Index ณ ปัจจุบัน

ลำดับความสำคัญและความหมายของข่าวเศรษฐกิจ

1. Non farm Payrolls

Non-Farm payroll การจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเดือนละหนึ่งครั้งจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ สัปดาห์แรกของเดือน ข่าวนอนฟาม Non-Farm payroll นี้จะ รายงานตัวเลขการจ้างงานทั้งหมดของคนงานสหรัฐในธุรกิจต่างๆ

2. Unemployment Rate

หมายถึง ตัวเลขอัตราการว่างงาน ตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนเศรษฐกิจได้ดี หรือตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน

3. Trade Balance

Trade Balance หมายถึง ดุลการค้า คือผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกสินค้าและมูลค่าการนำเข้า ใน แต่ละปี Trade Balance โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้

4. GDP ( Gross Domestic Production )

Gross Domestic Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในระยะเวลาหนึ่งโดยไม่สนใจว่าทรัพยากรที่ใช้การผลิตสินค้าและบริการเหลานั้นจะเป็นทรัพยากรของพลเมืองในประเทศหรือเป็นของชาวต่างประเทศตรงกันข้าม หากทรัพยากรของพลเมืองในประทศไปทำการผลิตในต่างประเทศก็จะไม่นับรวมในผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ

5. PCE Price Deflator ( Personal ConsumptionExpenditure)

ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งวัดได้จากการใช้จ่ายส่วนบุคคล

6. CPI ( Consumer Price index )

ดัชนีผู้บริโภค คือการวัดการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาของสินค้าและบริการที่ใช้ในการบริโภค…ดัชนีผู้บริโภค จะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ที่มีประโยชน์มากที่ชี้ให้เราเห็นว่า ในขณะนี้ค่าครองชีพ (Cost of living)สูงกว่าหรือต่ำกว่าจากเดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากเดือนที่ผ่านมาเท่าไหร่ บริษัทจะต้องเพิ่มหรือลดราคาสินค้า

7. TICS ( Treasury International Capital System)

TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้างโดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

8. FOMC ( Federal open Market committee meeting)

การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ ประชุม Fed เรื่องของอัตรา ดอกเบี้ยการปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยลดลงค่าเงินออ่นลงเช่นกัน

9. Retail Sales

ยอดขายปลีก ทุกวันที่ 13 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีกซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ(เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core RetailSales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

10. Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey

ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภค ออก ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือนโดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวังและ สิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกันหมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

11. PPI ( Producer Price Index )

ดัชนีราคาผู้ผลิต ออก วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อนPPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่งPPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่าCore PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่าเพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วยดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

12. Weekly Jobless Claims

ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วยซึ่งจะบอกถึงการว่างงานโดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป(อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

13. Personal Income

รายได้ส่วนบุคคล วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน PersonalIncome เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวกค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ)โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะเพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข PersonalIncome ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดีซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

14. Personal spending

รายจ่ายส่วนบุคคล วันแรกของการทำงานของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคลการจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง(แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลงแต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้นจะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

15. BOE Rate Decision ( Bank Of England )

ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆที่ไม่ใช่ US และ ECB จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆเปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นโดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ :-

-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไปหรือแข็งไป)

– อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืด

16. ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )

ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นโดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ

-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไปหรือแข็งไป)

– อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด

17. Durable Goods order

ดัชนีชี้วัดถึงกิจกรรมการผลิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตวันที่ 26 ของเดือนซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้าโดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิตซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลงตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable GoodsOrders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

18. ISM Manufacturing Index ( Institute of SupplyManager )

ดัชนีภาคอุตสาหกรรมโรงงาน ออก ทุกวันแรกของการทำงานของเดือนซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิตซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้าการที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดีและสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้ สถาบันการจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM)

19. Philadelphia Fed. Survey

ออก ราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้าโดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัวๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิตประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจการที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

20. ISM Non-Manufacturing Index

สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) ดัชนี้นอกภาคการผลิต ออก ราว ๆวันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลขISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้นและทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

21. Factory Orders

คำสั่งซื้อโรงงาน ออกราว ๆวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมดการสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

22. Industrial Production & CapacityUtilization

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือนซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไรการที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

23. Non-Farm Productivity

การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ออก ราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้วอันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้าในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดีแต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-FarmProductivity เพิ่มขึ้นหมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีและส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

24. Current Account Balance

หมายถึง ดุลบัญชีเดินสะพัด คือ ผลรวมสุทธิของดุลการค้า และดุลบริการ รายได้และเงินโอน

25. Consumer Confidence ( Consumer Sentiment )

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ConsumerConfidence Index) จะบออกว่าสำคัญมากและมากที่สุดทุกครั้งเมื่อเศรษฐกิจจะดีหรือแย่นั้น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ก็จะเป็น indicator ตัวหนึ่งที่บอกได้อย่างดีที่มันมีความสำคัญก็เพราะว่า ทุกครั้งที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ตนเผชิญอยู่ว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ไม่เช่นนั้นแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินต่างๆมันจะไม่เป็นผลถ้าประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือระบบเศรษฐกิจแล้วว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นเงินที่รัฐบาลอัดฉีดเข้าไปจะไร้ผล เงินในระบบจะไม่หมุนเวียนเนื่องจากคนจะลดการใช้จ่ายและชะลอการลดทุนในทางกลับกันถ้าประชาชนมีความเชื่อมั่นที่ดีแล้วเงินที่รัฐบาลอัดฉีดเข้ามาก็จะเกิดผลเพราะคนจะนำเงินที่ได้มาไปใช้จ่ายและลงทุนเงินในระบบก็จะเกิดการหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา สร้างรายได้ การจ้างงานและสิ่งอื่นๆตามมาอีกอย่างมากมาย

26. NY Empire State Index - ( NewYork Empire Index )

ออกทุกสิ้นเดือนโดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า

27. Leading Indicators

ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ หมายถึง ตัวแปรทางเศรษฐกิจต่างๆที่ปรับตัวล่วงหน้าก่อนตัวแปรอื่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร ตัวแปรทางเศรษฐกิจเช่นจำนวนชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ จำนวนทุนและโรงงานที่จดทะเบียนเปิดกิจการดัชนีราคาขายส่ง ดัชนีการลงทุน ปริมาณเงินหมุนเวียน เป็นต้นถ้าตัวแปรต่างๆเหล่านั้นเปลี่ยนไปในทางลดลงติดต่อกันหลายเดือนก็จะเป็นเครื่องชี้ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6-15 เดือนข้างหน้าจะหดตัวแต่ถ้าตัวแปรเหล่านั้นเปลี่ยนไปทางสูงขึ้นทุกเดือนติดต่อกันจะเป็นเครื่องชี้ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6-15 เดือนข้างหน้าจะขยายตัวโดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้

-ดัชนีนำภาวะเศรษฐกิจ (Leading Indicators)

-ดัชนีชี้ภาวะเศรษฐกิจ (Coincidental Indicators)

-ดัชนีชี้ตามภาวะเศรษฐกิจ (Lagging Indicators)

28. Business Inventories

สินค้าคงเหลือ/คลัง ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีกตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า

29. IFO Business Index ( Institute of IFO inGermany )

ดัชนีภาคุรกิจ โดยสถาบัน IFO ประกาศในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมันตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

30. ดัชนี PMI คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ

31. Empire State Indexยอดค้าปลีกและดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม

ECB กล่มประเทศยูโรโซน EU ประกอบไปด้วย

ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บังกาเรีย, โคลเอเชีย, ไซปรัส , สาธารณรัฐเช็ค, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฝรั่งเศส ,

เยอรมันนี, กรีซ, ฮังการี, ไอซ์แลนค์, อิตาลี, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, ลักเซมเบริ์ก, มอลตา, เนเธอร์แลนด์ ,

โปรแลนค์ , โปรตุเกส , โรมาเนีย, สโลวาเนีย, สเปน , สวีเดน

สหราชอาณาจักรอังกฤษ หรือ GBP ประกาศออกจากกลุ่มยูโรโซนแล้วจึงเหลือสมาชิก 27 ประเทศ

MoM, QoQ, YoY สัญลักษณ์ดัชนีชีวัดเศรษฐกิจ



YoY หรือ Year-over-Year

คือ ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

เช่น Gross Domestic Product (YoY) เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

Q1/2559 เทียบกับ Q1/2558 เรียกว่า YoY เป็นการเทียบช่วงเดียวกันของปีนี้กับปีก่อนหน้า

เพียงแค่ตัวเลขเป็น as of Q1

QoQ หรือ Quarter-over-Quarter

คือ ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

เช่น Gross Domestic Product (QoQ)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมไตรมาสที่ 3/2559 เทียบกับไตรมาส 2/2559

MoM หรือ Month-over-Month

คือ ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

เช่น Existing Home Sales (MoM) ยอดขายบ้าน เทียบกับเดือนก่อนหน้า

สัญญาลักษณ์ของสี



สี แดง หรือสูง หมายถึงข่าว ที่มีความสำคัญมากและจะมีผลกระทบต่อตลาดอย่างมาก อย่างเช่นข่าว NFP ,ประกาศอัตราดอกเบี้ยและแถลงการณ์ต่างๆเกี่ยวกับนโยบายการเงินของประเทศ ต่าง ๆ เป็นต้น

สีส้ม หรือกลาง หมายถึงข่าวที่มีความสำคัญเช่นกัน แต่น้อยกว่าข้อแรกและส่งผลกระทบต่อตลาดมากเช่นกันแต่ก็ยังน้อยกว่าในข้อแรก

สี เหลือง หรือต่ำ หมายถึงข่าวที่มีความสำคัญน้อยลงมาอีกระดับหนึ่ง บางครั้งแทบไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดเลย โดยเฉพาะถ้ามีประกาศออกมาในเวลาไล่เลี่ยกับข่าวที่เป็นสีแดงและสีส้ม แต่ถ้าวันไหนไม่มีข่าวสำคัญเลย ข่าวสีเหลืองหรือ Low Impact นี้ก็พอทำให้กราฟวิ่งได้อยู่

สี เทา คือ Non-Impact หรือ ไม่มีความเคลื่อนไหว มักเป็นสัญลักษณ์เมื่อธนาคารของประเทศใด ๆ ปิดทำการ คือ ตลาดของประเทศนี้นั้นปิดทำการไม่มี



ความหมายสัญญาลักษณ์ด้านหลังตัวเลข



K = หลักพัน ถ้าตัวเลขออกมา 1K = 1,000 และถ้าตัวเลขออกมา 10 K = 10,000 ข่าวออกมาเท่าไรคูณด้วยจำนวนตัวเลข 1.000

M = หลักล้าน ตัวเลขที่ออกมาจะเป็นหลักล้าน

B = หลักพันล้าน ตัวเลขที่ออกมาจะเป็นหน่วยพันล้าน และถ้าออกมาเป็น 14.5 B = 14.5 พันล้าน หรือ 1.45 หมื่นล้าน

T = หลักล้านล้าน ตัวเลขที่ออกมาจะคิดเป็นหน่วยล้านล้าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 23, 2016, 09:59:57 PM โดย admin »
บันทึกการเข้า
forex เป็นการลงทุนที่มีความเสียงสูงผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

ออฟไลน์ I Am TonyJar

  • ex/ n-cl
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 490
  • LIKE: 12
    • ดูรายละเอียด
Re: คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 11, 2016, 07:16:00 PM »
PMI คืออะไร

1. Purchasing Managers Index (PMI) มีชื่อในภาษาไทยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนักในประเทศไทย แต่เป็นดัชนีที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะนับเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ดีมากตัวหนึ่ง ดัชนีดังกล่าวจัดทำขึ้นโดย The Institute for Supply Management (ISM) และ Markit Group โดยใช้วิธีการสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในบริษัทกลุ่มตัวอย่างของแต่ละประเทศจำนวน 400 บริษัท โดยสร้างจากการคำนวณถ่วงน้ำหนักของผลจากการสำรวจ 5 ประเด็นหลักประกอบด้วย New orders (30%), Output (25%), Employment (20%), Suppliers' delivery times (15%), และ Stocks of items purchased (10%)

PMI มีการจัดทำทั้งในระดับ Global, กลุ่มประเทศ และรายประเทศ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 22 ประเทศ ครอบคลุมทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาสำคัญของโลกในทุกทวีป เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน หรือสิงคโปร์ เป็นต้น สำหรับบางประเทศจะมีการแบ่ง PMI ย่อยเพื่อกลุ่มธุรกิจประเภทต่างๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคการก่อสร้าง และภาคการค้าปลีก เป็นต้น

การตีความค่าของดัชนี PMI คือ หากมีค่าสูงกว่า 50 หมายถึง เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะการขยายตัวจากระดับปัจจุบัน หากมีค่าเป็นต่ำกว่า 50 หมายถึงมีแนวโน้มจะเกิดการหดตัว อีกทั้ง ดัชนี PMI ยังแสดงถึงสภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจว่าอยู่ในช่วงเร่งตัวหรือชะลอตัวจากเดิมได้ เช่น หากค่า PMI ในเดือนปัจจุบันอยู่ที่ 60 จุด ในขณะที่เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 65 จุด แสดงว่า แม้เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มการเติบโตอยู่ แต่น่าจะมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า

2. PMI มีประโยชน์อย่างไร?

จุดเด่นที่ชัดที่สุดของ PMI คือความสามารถในการมองแนวโน้มไปข้างหน้า เนื่องจากถูกนับเป็น leading indicator ที่สำคัญตัวหนึ่ง โดยมีแนวคิดที่ว่า หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะขยายตัวในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อย่อมต้องเร่งสั่งซื้อวัตถุดิบตั้งแต่วันนี้ ดังนั้นในทางปฎิบัติ หากผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบ่งชี้ว่ามีการซื้อวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น จะแสดงถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ PMI ยังมีจุดเด่นอีกประการในเรื่องของความถี่ในการจัดทำและความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูล PMI เป็นดัชนีผลลัพธ์จากการสำรวจซึ่งทำเป็นประจำทุกเดือน จัดทำถี่กว่าข้อมูล GDP ซึ่งเป็นรายไตรมาส และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าช้าเพียง 1 วันเท่านั้น หมายความว่า PMI จะเผยแพร่ข้อมูลวันที่ 1 ของเดือนถัดไป ความโดดเด่นในเรื่องของทั้งความถี่และความรวดเร็วทำให้สามารถสะท้อนความเป็นไปทางเศรษฐกิจได้ทันท่วงที นักลงทุนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง PMI จะไม่มีการแก้ไขหลังจากเผยแพร่ข้อมูลไปแล้ว ทำให้ผู้ใช้มีความเชื่อมั่นในตัวข้อมูลได้เป็นอย่างมาก

PMI สามารถใช้ตีความภาพรวมทางเศรษฐกิจได้ในหลายมุมมองด้วยกัน ประโยชน์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดคือ การใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเพื่อคาดการณ์เศรษฐกิจในมุมมองต่างๆ ในอนาคตอันใกล้ เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น

เนื่องจากการทำสำรวจเพื่อทำ PMI นั้น เป็นการพิจารณาจากกิจกรรมสำคัญของบริษัทกลุ่มหลักในทุกภาคธุรกิจสำคัญต่างๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการ ซึ่งจะสะท้อนถึงผลผลิตสุดท้ายของกลุ่มธุรกิจนั้น อีกนัยหนึ่งคือตัวเลข GDP ของกลุ่มบริษัทตัวอย่างในที่สุด ดังนั้น PMI จึงสามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศได้

นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว PMI ที่เห็นตามสื่อต่างๆ คือ Headline PMI ที่เป็การคำนวณจากผลสำรวจทั้ง 5 ประเด็นตามที่กล่าวไปข้างต้นในทุกภาคธุรกิจ แต่นอกจากตัว Headline PMI แล้ว ยังมี sub-index ของ PMI ซึ่งแต่ละดัชนีจะมีนัยยะต่อภาวะเศรษฐกิจแต่ละด้านที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น PMI - Employment จะสามารถบ่งชี้ถึงสภาวะการจ้างงานของทั้งประเทศได้ เป็นต้น

3. ใครจะใช้ประโยชน์จาก PMI ได้บ้าง?

ผู้ที่ต้องวางแผนหรือวิเคราะห์ธุรกิจสามารถใช้ PMI เป็นปัจจัย (business indicator) อีกตัวหนึ่งสำหรับการพิจารณาหรือวางแผนธุรกิจของตนได้ เนื่องจากจุดเด่นด้านการบ่งบอกแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ความถี่ของข้อมูล และความรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ sub-index ของ PMI เช่น PMI - New orders หรือ PMI - Stocks of items purchased ประกอบการตัดสินใจในแต่ละประเด็นทางธุรกิจได้อีกด้วย

ผู้ที่มีกิจการส่งออกก็สามารถใช้ประโยชน์จาก PMI เช่นกัน เนื่องจากมีการจัดทำดัชนี PMI ดังกล่าวในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดใหม่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากอย่างประเทศจีนและอินเดีย โดยดัชนี PMI สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดสภาวะแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และสะท้อนกำลังซื้อของตลาดต่างประเทศได้รวดเร็วกว่าการรอตัวเลข GDP ซึ่งมีการประกาศตัวเลขที่ล่าช้ากว่าดัชนี PMI

สำหรับนักลงทุนก็สามารถใช้ประโยชน์จาก PMI เช่นกัน โดยมีผลต่อตลาดต่างๆ แตกต่างกันไป เช่น

ตลาดหุ้น : PMI สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในอนาคตได้ โดยสามารถส่งสัญญาณแนวโน้มการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (economic recession) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ช่วงเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ในอดีตตั้งแต่ปี 1980 สหรัฐเผชิญกับช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งสำคัญทั้งหมด 5 ครั้ง และทุกครั้งก่อนวิกฤตจะเริ่มเกิดขึ้น ค่า PMI จะส่งสัญญาณลดต่ำกว่า 50 จุด ซึ่งหมายถึงแนวโน้มเศรษฐกิจหดตัวก่อนเกิดวิกฤตแทบทุกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่มีผลกระทบทางลบต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก

ตลาดพันธบัตร : เช่น การเพิ่มขึ้นของ PMI แสดงถึงเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ซึ่งหากมีความร้อนแรงมากเกินไปก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นตาม ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ช่วงที่ PMI ลดลงต่ำ อัตราดอกเบี้ยจะมีโอกาสปรับลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรก็เปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของ PMI จึงมีโอกาสส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเพิ่มขึ้นในที่สุด

ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน: ปกติ เมื่อ PMI เพิ่มขึ้นและสะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไปยังประเทศดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินแข็งขึ้น ในทางกลับกันหาก PMI ลดลง เม็ดเงินก็อาจไหลออกจากประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจอ่อนแอซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อควรระวังบางประการ เพราะในกรณีที่ PMI ของสหรัฐฯ ลดลงและบ่งบอกถึงโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ปรากฎว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะความกังวลทางเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนนำเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่นตลาดหุ้นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่) กลับไปยังพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นในที่สุด (ต่างจากกรณีของประเทศอื่นๆ ทั่วไป)

4. ตัวเลข PMI ล่าสุดบอกอะไร?

ค่า PMI ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจากราว 60 จุดในช่วงต้นปี เหลือเพียง 50.9 จุดในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ส่วนค่า PMI ภาคการผลิตของสหภาพยุโรปก็ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีเช่นเดียวกัน โดยตัวเลขล่าสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 50.4 จุด ลดลงมาอยู่ใกล้กับระดับ 50 จุด เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างแนวโน้มการขยายตัวกับแนวโน้มการหดตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี

ความสามารถของ PMI ในการบ่งบอกแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตดังกล่าว ประกอบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้ จึงทำให้ดัชนี PMI เป็นที่สนใจและมีความสำคัญต่อนักลงทุนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งนักลงทุนหรือผู้ประกอบการของไทยก็ควรให้ความสนใจดัชนีดังกล่าว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจในขณะนี้เช่นเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 19, 2016, 09:05:28 PM โดย admin »
บันทึกการเข้า

ออฟไลน์ BuySell

  • ex
  • สมาชิกใหม่
  • กระทู้: 6
  • LIKE: 2
    • ดูรายละเอียด
ประธานธนาคารกลางที่มีความสำคัญ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 11, 2016, 07:42:03 PM »
นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ BoE





นายมาริโอ ดรากี ( Draghi ) ประธานธนาคารกลางยูโรโซน ECB



ธนาคารกลางยุโรปได้ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 มกราคมปี 1999 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในแฟรงค์เฟิร์ตประเทศเยอรมนี ภารกิจของ ECB

คือการให้ราคาของยูโรมีความเสถียรกล่าวอีกนัยหนึ่งคือให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 2%


ระบบยุโรปเกี่ยวกับธนาคารกลางประกอบด้วยธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางแห่งชาติ: ECB

Banque Nationale de Belgique  ธนาคารแห่งชาติของประเทศเบลเยียม

Deutsche Bundesbank ธนาคารดอยส์แบงค์

Bank of Greece  ธนาคารแห่งประเทศกรีซ

Banco de Espana  ธนาคารแห่งประเทศสเปน

Banque de France ธนาคารแห่งประเทศฝรั่งเศส

Institut Monetaire Luxembourgeois สถาบันการเงิน ลักเซมเบิร์ก

ทุกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรม ECB เช่นการควบคุมอัตราการลดค่าใช้จ่ายและอื่น ๆ จะถูกจัดการโดยคณะกรรมการ

คณะกรรมการ

คณะกรรมการประกอบด้วยสมาชิกทั้งหก จะประกอบด้วยประธานและรองประธานร่วมกับผู้ว่าการของธนาคารกลางของสหภาพยุโรปแห่งชาติ ผู้สมัครที่ได้รับการเสนอโดยคณะกรรมการและได้รับการยอมรับจากรัฐสภายุโรปและสหภาพยุโรปหัวของรัฐ ประธานได้รับการแต่งตั้งเป็นเวลา 8 ปี

คณะกรรมการผู้ว่าการ

คณะกรรมการที่ประกอบด้วยประธานและรองประธานร่วมกับผู้ว่าการของธนาคารกลางของสหภาพยุโรปแห่งชาติ ประเพณีสี่ในหกสมาชิกเป็นตัวแทนของธนาคารกลางขนาดใหญ่ของฝรั่งเศสเยอรมนีอิตาลีและสเปน

เฉพาะสมาชิกของคณะกรรมการมีอำนาจในการออกเสียงลงคะแนนที่มีส่วนบุคคลหรือการปรากฏตัวของการประชุมทางไกลที่มีความจำเป็น สมาชิกสามารถแต่งตั้งผู้แทนในกรณีที่เขาไม่สามารถที่จะเข้าร่วมการประชุมเป็นเวลานาน

เพื่อที่จะกระทำการออกเสียงลงคะแนนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ 2/3 ในสัดส่วนของสมาชิกทั้งหมดที่จะนำเสนอ แต่สามารถได้รับการแต่งตั้งประชุมฉุกเฉินที่มีเกณฑ์ของการไม่ได้เข้าร่วม การตัดสินใจที่จะทำโดยเสียงข้างมากและในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากันให้ยึดเสียงข้างของประธานาธิบดีแบกน้ำหนัก คำถามเกี่ยวกับสินทรัพย์ ECB, การกระจายตัวของผลกำไรและอื่น ๆ จะแก้ไขโดยการลงคะแนนด้วยน้ำหนักของคะแนนโหวต ทุนจดทะเบียนหุ้นใน ECB เป็นสัดส่วนกับส่วนธนาคารแห่งชาติ



นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)





นายคุโรตะ ประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น บีโอเจ





นายเกล็นน์ สตีเวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย RBA

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2016, 10:39:49 PM โดย admin »
บันทึกการเข้า

ออฟไลน์ POPEYE27

  • Ex / Cl
  • senior
  • *****
  • กระทู้: 4230
  • LIKE: 27
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
วันประชุมของธนาคารกลาง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 11, 2016, 08:16:27 PM »
วันประชุมของธนาคารกลาง

การตัดสินใจทางการเงินและนโยบายการให้สินเชื่อจะจัดทำโดยหน่วยงานพิเศษของธนาคารกลาง (สหพันธ์คณะกรรมการตลาดเปิดกลางในสหรัฐอเมริกา สภาปกครองในธนาคารกลางยุโรปและอื่น ๆ) ซึ่งดำเนินการประชุมครั้งหรือสองครั้งต่อเดือน ในการประชุมเหล่านั้นผู้เชี่ยวชาญจะประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน หารือเกี่ยวกับข้อมูลทางเศรษฐกิจ คิดหาทางออกกลยุทธ์ของเงินและนโยบายการให้สินเชื่อ พร้อมทั้งออกเสียงลงคะแนนในการกำหนดมูลค่าของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีกำหนดการประชุมในปี 2014 ดังนี้



วันประชุมสภาปกครองในธนาคารกลางยุโรป*

ในการประชุมครั้งแรกจะประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจและการเงินรวมทั้งขอบเขตของสินเชื่อและตัดสินใจในเรื่องของทิศทางนโยบายทางการเงิน การประชุมครั้งที่สองส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกี่ยวกับ ECB และอื่นๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ

เทปการประชุมไม่เคยได้รับการเผยแพร่ โดยการตัดสินใจทางการเงินและนโยบายสินเชื่อจะประกาศในการแถลงข่าวแบบพิเศษทันทีหลังจากการประชุมครั้งแรก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2016, 10:42:07 PM โดย admin »
บันทึกการเข้า
งุงิงุงิงุงิ

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • Gold Master
  • *****
  • กระทู้: 44186
  • LIKE: 482
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 21, 2016, 10:41:20 PM »
เข้ามาดูกันว่ามีอะไรเพิ่มเติมบ้าง
บันทึกการเข้า
forex เป็นการลงทุนที่มีความเสียงสูงผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

ออฟไลน์ Teerapong

  • ปู่ของบอร์ด
  • *****
  • กระทู้: 9020
  • LIKE: 146
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 06, 2017, 08:35:15 AM »
ขอบคุณมากครับ เยี่ยมเลยครับ
บันทึกการเข้า
ผู้ชนะ...ไม่พูดคำท้อ

  • พิมพ์
หน้า: [1]   ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
  • Forex l หุ้น l การลงทุน l การซื้อขายออนไลน์ l ตลาดฟอร์เร็กซ์ »
  • FOREX NEWs / ปฏิทินเศรษฐกิจประจำวัน »
  • ปฏิทินเศรษฐกิจประจำวัน (ผู้ดูแล: admin) »
  • คำศัพท์และคำย่อปฏิทินเศรษฐกิจโลก
 

Risk Warning : ข้อมูลในเว็บไซค์นี้อาจถูกก๊อบปี้ข้อมูลบางส่วนจากสมาชิกบางท่าน แล้วนำไปดัดแปลงแก้ไขใหม่

คำเตือนการลงทุนมีความเสี่ยง : การซื้อขายในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (forex) หรือผลิตภัณฑ์ CFD โดยเฉพาะการเทรดที่ใช้ Leverage สูง มีความเสี่ยงสูงโปรดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน มูลค่าการลงทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ และนักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ เป็นความรับผิดชอบของตัวนักลงทุนเอง สำหรับการขาดทุนหรือสูญเสียทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเป็นผลเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมใด ๆ ก็ตาม ทั้งนี้ทางบอร์ดเป็นเพียงสื่อกลางในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถรับผิดชอบต่อผล กำไร/ขาดทุน จากการเทรดของสมาชิกเว็บบอร์ดได้นักลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านก่อน ก่อนตัดสินใจลงทุน

Powered by SMF 2.0 RC5 | SMF © 2006–2011, Simple Machines LLC | SMF Thailand